ความดีสากล
พระราชภาวนาจารย์ (เผด็จ ทตฺตชีโว)
ความดีสากลที่สมบูรณ์ประกอบด้วยข้อปฏิบัติที่ต้องใส่ใจประพฤติ อย่างต่อเนื่องรัดกุมด้วยตนเอง จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยใจคอ คุณธรรม และศีลธรรมประจำใจของตนในที่สุด มี ๕ ประการด้วยกัน คือ
๑. มีความรับผิดชอบต่อความสะอาด
๒. มีความรับผิดชอบต่อความมีระเบียบ
๓. มีความรับผิดชอบต่อความสุภาพ
๔. มีความรับผิดชอบต่อการตรงต่อเวลา
๕. มีความรับผิดชอบต่อการมีสมาธิ
การปฏิบัติความดีสากล ๕ อย่างครบครันในกิจวัตรประจำวัน จึงมิใช่เรื่องเหลือวิสัยหรือลึกลับอันใด เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายแต่ทว่าทรงคุณค่าต่อผู้ปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง หากท่านใดปฏิบัติอย่างจริงจัง ช่างสังเกต พินิจพิจารณา ไม่ช้าย่อมประจักษ์ในคุณค่าอันไม่มีประมาณของความดีสากล ทั้งที่มีต่อตนเองและส่วนรวม ท่านเหล่านั้นย่อมประสบแต่ความสุขความเจริญ ความสมหวังในสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างแน่นอน แม้การบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เพราะความดีสากล ๕ เป็นรากฐานของการทำงานสร้างสรรค์ทุกประเภท และการทำความดีทุกระดับ
ความจริงตามธรรมชาติที่ถูกมองข้าม
ในโลกนี้มีความจริงตามธรรมชาติ ๓ ประการ ที่ชาวโลกมองข้ามทั้งๆ ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
๑. มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้จักตนเอง
- ก่อนเกิดมาจากไหน
- เกิดมาทำไม
- ตายแล้วจะไปไหน
เพราะไม่รู้เป้าหมายชีวิต จึงใช้ชีวิตผิดพลาด
๒. มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความทุกข์
- อยู่ในครรภ์มารดา ก็เป็นทุกข์ คลอดจากครรภ์ก็เป็นทุกข์ จึงได้ร้องไห้จ้า
- ตั้งแต่นั้นมา ก็มีเรื่องให้เป็นทุกข์ ทุกวันจนถึงบัดนี้
- ในอนาคตจะตายเมื่อไหร่ ตายที่ไหน ตายอย่างไร ขณะตายจะทุกข์ขนาดไหน ตายแล้วจะเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไร ก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงกลัวตาย
๓. มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความสกปรก
- คลอดจากครรภ์มารดาก็สกปรกทั้งตัว
- ทุกนาทีเซลล์ในกายตาย ๓๐๐-๔๐๐ ล้านเซลล์ทำให้ทั้งตัว เสื้อผ้า – อาหาร – บ้าน – ยา – ของใช้ ต้องพลอยสกปรกจากซากเซลล์ด้วย
- ทุกสิ่งที่ออกจากร่างกาย ไม่ว่าของแข็ง ของเหลว แก๊ส เว้นความดี ก็มีแต่สิ่งสกปรก ทั้งสกปรก – ไม่รู้จักตน – ยังไม่พ้นทุกข์ – เอาแต่สนุก ทำไมไม่รีบกลั่นกาย วาจา ใจ ให้ใสสะอาด
ความจริงเรื่องข้อจำกัดของชีวิต
ประการที่ ๑ มนุษย์ยังชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔
ปัจจัย ๔ ประกอบด้วย
(๑) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
(๒) อาหาร
(๓) ที่อยู่อาศัย
(๔) ยารักษาโรค
ชีวิตต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นหลัก ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ไม่ได้ สาเหตุที่ต้องทำมาหากินอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อจะได้เงินได้ทองมาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคหรือการรักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เรียกว่า ปัจจัยสำหรับรองรับชีวิตของเรา หรือปัจจัยอุดหนุนให้ชีวิตดำเนินไปได้ นี่คือวัตถุประสงค์หลักที่แท้จริง
ประการที่ ๒ มนุษย์อายุสั้น
มนุษย์ปัจจุบันมีอายุสั้นมาก เวลาของชีวิตมีจำกัด รู้ไหมว่าคนเราเริ่มแก่เมื่ออายุเท่าไร พอคลอดออกมาก็เริ่มแก่ทันที นับถอยหลังได้เพราะอายุคนถูกจำกัดเอาไว้เท่านี้ แต่ละวันที่ผ่านไปคือแต่ละก้าวที่ใกล้หลุมฝังศพ ใกล้เมรุเผาศพเข้าไปทุกก้าวๆ เมื่อมองเห็นชีวิตชัดเจนอย่างนี้ รีบไปบวชประเสริฐสุดยิ่งเสียเวลาหา เสียเวลาเก็บ เสียเวลาใช้ปัจจัย ๔ มากเท่าไร ยิ่งเสียโอกาสในการฝึกสติ ฝึกสมาธิเพื่อกำจัดกิเลส อันเป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วและเพาะนิสัยเสีย
ประการที่ ๓ มนุษย์มักหลงผิด
มนุษย์ต้องการทรัพย์สมบัติมาเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต แต่อย่าเผลอหลงผิดไป บางคน มี ๑๐ ล้านไม่พอ ๑๐๐ ล้านไม่พอ ๑,๐๐๐ ล้านไม่พอหามาแล้วทั้งชีวิตไม่ได้ใช้เก็บไว้อย่างนั้น ตายแล้วทิ้งทรัพย์สมบัติไว้มากมายไม่รู้จะเหนื่อยไปทำไมกัน แต่ถ้าหากทำงานแล้วแสวงหาทรัพย์สมบัติมาได้มาก เพราะเรามีความรู้ความสามารถ ควรแบ่งสันปันส่วนสินทรัพย์เหล่านั้น ไปทำบุญทำทาน แบ่งไปทำบุญกับพระในบ้านคือพ่อแม่ก่อน ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ตามวัดต่างๆ ทำบุญแบบสังคมสงเคราะห์ ตามโรงเรียน โรงพยาบาล คนยากไร้ คนด้อยโอกาสก็ได้ ปล่อยปลาปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระรอดพ้นจากการถูกฆ่า บุญเหล่านี้เรียกว่า “เสบียงบุญ” ตามติดตัวไปไม่ต้องมานั่งแบกสมบัติ
ถ้าร่ำรวยแล้ว ต้องนำทรัพย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อบิดามารดาบุพการี ต่อพระพุทธศาสนา ต่อสังคม และประเทศชาติ จิตใจย่อมจะเป็นสุขที่เกิดมาเป็นผู้ให้ ลดความตระหนี่ถี่เหนียวลงไปได้ แต่ถ้ามัวแต่หวงทรัพย์สมบัติไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดินจะกลายเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “โรคตระหนี่” เป็นนิสัยไม่ดีติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
ประการที่ ๔ มนุษย์มีนิสัยไม่ดี มีกิเลสที่หมักหมมไว้
มนุษย์บางคนมีกิเลสชั่วที่หมักหมมไว้ติดตามตัวไปมาก เมื่อเกิดในภพชาติใหม่ ความรู้ที่เคยมี ความดีที่เคยทำ จะถูกลืม พร้อมจะทำกรรมชั่วในชาติใหม่ได้ง่าย ตามนิสัยชั่วที่ติดตัวไปตั้งแต่ชาตินี้
ความจริงเรื่องข้อจำกัดของชีวิต
๑. มนุษย์ยังชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัย
มนุษย์ยังชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔ คือ เสื้อผ้า – อาหาร – ที่อยู่อาศัย- ยารักษาโรค แต่ปัจจัยเหล่านี้มีความน่าใคร่น่าอยากได้แฝงอยู่ ถ้าบริโภคใช้สอยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์แท้จริง ก็จะอยากได้เกินจำเป็น ตนเองย่อมวุ่นวายแสวงหา จึงเสียเวลา เสียสุขภาพ เสียทรัพย์ เสียนิสัย สังคมก็ขาดแคลน เกิดการเอารัดเอาเปรียบ สิ่งแวดล้อมก็ถูกทำลาย
๒. มนุษย์อายุสั้นนัก
มนุษย์อายุสั้นนัก ยิ่งเสียเวลาแสวงหาปัจจัย ๔ ส่วนเกิน ยิ่งเสียโอกาสฝึกตัว กิเลสจึงมีแต่จะเพิ่ม นิสัยมีแต่จะเสีย นับว่าเสียชาติเกิด
๓. มนุษย์มักหลงผิด
มนุษย์มักหลงผิด สำคัญเรื่องเล่นว่าเป็นจริง เรื่องจริงว่าเป็นเล่น เอาชีวิตเป็นเดิมพันทำชั่ว ทำเรื่องไร้สาระเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ – สนุกเพิ่มพูนแต่บาป แต่ทำดีแบบเหยาะแหยะ สร้างบุญกุศลแบบเสียไม่ได้ทำให้ชีวิตมีแต่ตกต่ำ แล้วโทษว่าบุญไม่ช่วย
๔. นิสัยไม่ดี – กิเลสที่หมักหมมไว้
นิสัยไม่ดี – กิเลสที่หมักหมมไว้ แม้ตนเองตายแล้วก็ยังไม่สูญ ย่อมตามไปรังควานต่อชาติหน้า ความรู้ที่เคยมี ความดีที่เคยทำไว้แบบเหยาะแหยะจะถูกกิเลสบดบังให้หลงลืมได้ง่าย จึงพร้อมจะทำกรรมชั่วอีกตามนิสัยชั่วเดิมๆ ที่สั่งสมไว้ข้ามชาติ
ความจริงจากข้อจำกัดของชีวิตทั้ง ๔ ประการนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยได้นำมาพินิจพิจารณากันให้ตระหนักซึ้งถึงความจริงนี้เลย
ทำไมชีวิตอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔
สิ่งที่บีบคั้นเราตั้งแต่ยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา คือความหิว ความกระหาย การถ่ายของเสียออกจากร่างกาย พอเราหิว เรากระหาย เราก็เตะถีบดิ้นรนให้แม่รู้ว่าเราหิว ยิ่งครรภ์แก่มากเท่าไร ตัวเราใหญ่ขึ้นเกือบสามกิโลกรัม ทั้งถีบ ทั้งถอง จนท้องแม่ปูดโปนออกมาเป็นรูปข้อศอก รูปเข่า รูปเท้าเรานั่นแหละ ประเคนใส่จนกว่าคุณแม่เราจะตะเกียกตะกายหาอะไรมาดื่มหรือกลืนกินอะไรลงไปให้เราหายหิวจึงจะหยุดอาละวาด ยิ่งเด็กผู้ชายยิ่งแรงดีมากกว่าเด็กผู้หญิงหลายเท่านัก
ที่สำคัญอย่างน่าประหลาดใจ คืออาละวาดตรงเวลาเหมือนมีนาฬิกาแขวนไว้ในผนังท้อง ถ้าอาหารเครื่องดื่มลำเลียงเข้าไปผิดเวลาไปสัก ๕ นาทีเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องทีเดียว เพราะความทุกข์ที่เกิดจากความหิวกระหายตั้งแต่ยังไม่เดียงสา สายสะดือที่ต่อเชื่อมกันไว้ พอคุณแม่กินคุณลูกพลอยอิ่มไปด้วย พออิ่มไปได้สักพักสบายอกสบายใจก็ง่วงงุนหลับพาคุณแม่ง่วงหลับพับตามไปอีก
ลองสังเกตดูหญิงตั้งครรภ์หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จจะง่วงจนทนไม่ไหวต้องเผลองีบหลับ คู่มือคุณแม่ทั้งหลายจึงแนะนำให้พักผ่อนหลังรับประทานอาหารกลางวันสัก ๓๐ นาที เพื่อซ่อมแซมร่างกายเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ให้สดชื่นขึ้น พอเราตื่นขึ้นมาอาหารย่อยเสร็จจัดแจงปล่อยของเสียฝากให้คุณแม่ช่วยกำจัดออกมาให้อีก ยิ่งครรภ์แก่เท่าไรยิ่งหิวบ่อยเท่านั้น ร่างกายจะอ้วนอุ้ยอ้าย อุ้มทั้งน้ำหนักตัวคุณแม่ที่เริ่มขยายสัดส่วนต่างๆ ทั้งน้ำหนักทารกในครรภ์ เริ่มเกิดอาการปวดหลังเพราะขาดความสมดุลของท้องที่ยื่นล้ำออกมา เป็นตะคริวที่ขาเพราะแคลเซียมถูกดึงไปใช้สร้างกระดูกให้ลูกน้อยอีกต่างหาก
นี่เป็นแค่หนังตัวอย่างตอนเรานั่งๆ นอนๆ อยู่ในครรภ์มารดา ยังไม่ได้ลืมตามาผจญภัยเองเลย ยังเอาแต่ใจตัวเองโดยความต้องการพื้นฐานของชีวิตเท่านั้น
พอคลอดจากครรภ์มารดา บอกได้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ทันทีที่เกิดก็ร้องไห้จ้าออกมา ตกใจแสงไฟสว่างจ้า เสียงคนคุยกัน เสียงเครื่องมือ อุณหภูมิหนาวร้อนไม่พอเหมาะเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวปวดหนัก เดี๋ยวปวดเบา มันตามบี้ตามบีบเราอย่างนี้ ถึงได้พากันร้องไห้จ้าออกมา ถึงได้บอกว่าเราเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้ไม่มีเว้นว่างแม้แต่วันเดียว
นี่คือความจริงของชีวิตที่เราจะต้องผจญ
ทำไมหนาว เพราะขาดธาตุไฟ จึงต้องหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมาใส่ หาที่อยู่อาศัยไว้หลบฝน หลบหนาว
ทำไมร้อน เพราะขาดธาตุลม จึงต้องหาเสื้อผ้าที่เหมาะกับฤดูกาลมาสวมใส่ หาพัด หาพัดลม หาเครื่องปรับอากาศ มาใช้ดับความร้อนอบอ้าว
ทำไมหิว เพราะขาดธาตุดิน จึงต้องหาอาหารมาใส่ปาก ใส่ท้องของเราดับความหิว
ทำไมกระหาย เพราะขาดธาตุน้ำ จึงต้องหาน้ำ หาเครื่องดื่มมาดับความกระหาย
ความหนาวร้อน อาการหิวกระหายมีมาก ทำให้เกิดธาตุแปรปรวนจึงต้องหายารักษาโรคมาบรรเทาอาการ อันเกิดจากความเกินพอดีที่ร่างกายได้รับมา เพราะฉะนั้น สภาวะของความหนาว ร้อน หิว กระหาย จึงเป็นที่มาของปัจจัย ๔ คือ เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม บ้านที่อยู่อาศัย อาหาร/น้ำ และยารักษาโรค ไม่ใช่ว่าเอาปัจจัย ๔ มาพูดเล่นกันลอย ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตมา เราไม่ได้ฝึกคิดพิจารณาว่าปัจจัย ๔ เหล่านี้มีหน้าที่อะไรกันแน่นอกจากเราไม่ค่อยได้คิดแล้ว เรายังทำตามใจตัวเองอีกต่างหาก โดยเอาความอยากแบบไร้ขอบเขตเป็นที่ตั้ง
วัตถุประสงค์แท้จริงการใช้ปัจจัย ๔
ป้องกัน เหลือบยุง สัตว์เลื้อยคลาน ลม-แดด ปกปิดกันอาย เพื่อทำความดีได้สะดวก
หนาว-ร้อน หิว-กระหาย ปวดอึ-ปวดฉี่
บรรเทาทุกข์ด้วย : เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค
สภาวะความจริงที่ต้องพัฒนานิสัย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ เพราะมองเข้าไปในกายของพระองค์เอง แล้วสอนให้เราเริ่มพิจารณาจากตนเองเป็นหลัก จากการมองเข้าไปในตัวเอง จะพบว่ามนุษย์มีปัญหา ๔ อย่างนี้
เป็นทุกข์จากความกระสับกระส่ายในการกระทบกระทั่ง เมื่ออยู่ร่วมกันตั้ง แต่ ๒ คนขึ้นไป
ร่างกายตน เช่น หนาว-ร้อน หิว -กระหาย ปวดอึ-ฉี่
ทุกข์ ๔ ประจำชีวิต
The Four Types of Suffering
๑ ทุกข์จากสรีระ
๒ ทุกข์จากสังคม
๓ ทุกข์จากเศรษฐกิจ
๔ ทุกข์จากกิเลส
กิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้ง ๔ เนื่องจากกิเลสปิดบังใจให้ขุ่นมัวทำให้ไม่รู้ผิด-ชอบ ชั่ว -ดี จึงประพฤติชั่ว –ผิด ทำให้เวียนว่ายตายเกิด
ทุกข์ ๔ กำเริบ
๑ ทุกข์จากสรีระ
ไม่สำรวมกาย
ไม่รักษาสุขภาพ หา-เก็บ-ใช้
ปัจจัย ๔ ไม่เป็น ไม่รู้ประมาณ
ย่อมขี้โรค มักสกปรก
ไม่รู้จักพอ ย่อมเอาเปรียบ
๒ ทุกข์จากสังคม
ไม่สำรวมวาจา
มักนินทา-จับผิด
ไม่สำรวมกาย
ไม่เคารพหน้าที่และสิทธิ
ย่อมดีแต่พูด
๓ ทุกข์จากเศรษฐกิจ
ไม่สำรวมอาชีพ
อาชีพทุจริต ผลิตอบายมุข
ฉกฉวยทรัพยากร
ทำลายสิ่งแวดล้อม
ย่อมประจบสอพลอ
ผู้มีอำนาจ
๔ ทุกข์จากกิเลส
มีความเห็นผิด
ลำเอียง ไม่มีวินัย
ไม่เจริญภาวนา
แม้พูดดี ๆ ก็โกรธ
ย่อมชอบทำลาย
ล้างผลาญ
ความดีสากล
ความดีสากล ๕ คือ ข้อปฏิบัติทางกายวาจาใจ ที่ทำให้ความทุกข์ลดลงหรือหมดไป เป็นข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกเพศ วัย เชื้อชาติ ศาสนาและลัทธิความเชื่อ เพื่อให้ใจผ่องใส สามารถเห็นประโยชน์สุขของตนและผู้อื่นได้ โดยการฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ประกอบด้วย
๑. มีความรับผิดชอบต่อความสะอาด
๒. มีความรับผิดชอบต่อความมีระเบียบ
๓. มีความรับผิดชอบต่อความสุภาพอ่อนน้อม
๔. มีความรับผิดชอบต่อการตรงต่อเวลา
๕. มีความรับผิดชอบต่อการมีสมาธิจิตตั้งมั่น
คุณลักษณะความดีสากล
ความดีสากล เป็นความดีเบื้องต้น ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติตามแล้วไม่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน แต่ยังช่วยให้เกิดการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจอีกด้วย
ความดีสากล มีคุณลักษณะไม่ขัดแย้งบั่นทอน ๕ คือ
๑. ไม่ขัดแย้งกับลัทธิ ศาสนา และศีลธรรมอันดีของประเทศนั้นๆ
๒. ไม่ขัดแย้งกับกฎหมายของประเทศนั้นๆ
๓. ไม่ขัดแย้งกับนโยบายของรัฐบาลประเทศนั้นๆ
๔. ไม่ขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
๕. ไม่บั่นทอนสุขภาพของประชาชนทุกเพศ ทุกวัย
อันตรายจากสรีรทุกข์กำเริบ
ใช้พลังงานมาก ≈ ๓๐๐ ล้านเซลล์ตาย/นาที
↑ ↓ ↑ ↓
ไม่มีสมาธิ หนาว-ร้อน กายสกปรกเป็นนิจ
↑ หิวกระหาย ↓
Hunger and thirst
ไม่รักษาเวลา ปวดอึ-ฉี่ เสื้อผ้า บ้าน
↑ ทุกข์จากสรีระ ยา อาหาร
ไม่สุภาพ สกปรกเป็นนิจ
↑ ↓
ความคิด
คุมอิริยาบถ ๔ ← สร้างสรรค์ไม่เกิด
ไม่ได้
จัดระเบียบของใช้ไม่ได้
ความดีสากล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตัวของเรา ประกอบด้วย
๑. ความสะอาด
มนุษย์คือแหล่งผลิตความสกปรกของโลก แม่ขยะพ่อขยะเคลื่อนที่ แม่ป่าช้าเคลื่อนที่ แม่ศพเคลื่อนที่ แม่ขี้คุกพ่อขี้คุกทั้งหลาย นี่คือตัวของเรา เพราะฉะนั้น ต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ ของโลกมนุษย์ เริ่มตรงความสกปรก ถ้าใครสกปรกหรือสะอาดไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้น บ้านของคนๆ นั้นจะจัดระเบียบอะไรไม่ได้เพราะมันสกปรก
- เสื้อผ้าไม่ได้เก็บไม่ได้ซักแล้วจะไปจัดระเบียบกันอย่างไร ได้แต่กองอย่างนั้น จะเอาไปพับ เอาไปรีด เอาไปเก็บเข้าตู้ก็ไม่ได้
- ถ้วยจานช้อนชามกินแล้วยังไม่ล้าง ไม่ได้เช็ด ไม่ได้คว่ำ โต๊ะเก้าอี้ไม่เช็ด ไม่ได้ปัด ไม่ได้ถูให้ดี ใช้แล้วไม่ได้เก็บ พื้นรกสกปรก จัดระเบียบไม่ได้
- รองเท้าเปื้อนแล้วไม่ได้ล้าง ไม่ได้ขัด ไม่ได้เช็ด ไม่ได้จัดระเบียบ
- ข้าวของส่วนตัวจัดระเบียบไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดจะไปจัดระเบียบการจราจรได้ กดให้แตรระเบิดก็ทำได้ยาก
- สังคมจัดระเบียบไม่ได้ สิ่งที่ตามมาคือ คนในสังคมจัดระเบียบความคิดไม่ได้
ดังนั้น ที่ทำงานของใครสกปรกหรือสะอาดไม่พอ จะให้คนในสำนักงานดีเป็นไปไม่ได้ ที่ทำงานมันแย่แล้วความคิดดีๆ จะเกิดได้อย่างไร การจัดระเบียบความคิดย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน ทำได้อย่างเดียวคือรอคำสั่งตลอดชาติ แม้คำสั่งให้มาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่สามารถทำตามคำสั่งได้อีกต่างหาก
๒. ความมีระเบียบ
วิธีจัดระเบียบความคิด โต๊ะ เก้าอี้ ช้อน ชาม ควรจะเรียงจากใหญ่ไปหาเล็ก หรือเรียงจากเล็กไปหาใหญ่ หรือสถานที่คับแคบแต่สูงอาจต้องเรียงของที่ต้องใช้ก่อน ใช้หลัง ใช้บ่อย ที่เขาเรียกว่า “First in, First out”วางบนล่างใกล้ไกลต่างกัน ควรจะจัดระเบียบอย่างไร คิดให้มันหายรก จะคิดงานออกตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ทุกสถานที่ทำงานในโลกจึงต้องเข้มงวดในการจัดระเบียบข้าวของในสำนักงานเป็นชีวิตจิตใจ
๓. ความสุภาพอ่อนน้อม
ความสุภาพอ่อนน้อม เริ่มตั้งแต่ อิริยาบถ คือ การนั่ง นอน ยืน เดิน ท่านั่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยหรือจัดให้เป็นระเบียบไม่ได้ เขาเรียกว่า นั่งไม่สุภาพ ใครที่โดนข้อหาว่าไม่สุภาพ แท้ที่จริงมีปัญหาและสาเหตุ ไล่มาเป็นลำดับดังนี้
- ทำไมจัดระเบียบท่าทางไม่ได้ เพราะจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้
- ทำไมจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้ เพราะจัดระเบียบความคิดไม่ได้
- ทำไมจัดระเบียบความคิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่หัวถึงเท้ายังสกปรก จัดระเบียบตัวเองไม่ได้
การพูดเป็นการจัดระเบียบความคิดของตนเอง ให้เป็นคำพูดส่งต่อไปยังคนอื่น เพื่อให้เขาเข้าใจตรงตามความคิดของเรา จัดเป็นความยากอีกขั้นหนึ่ง ถ้าเรายังจัดระเบียบท่าทางตัวเองไม่ได้ ย่อมไม่สามารถจัดระเบียบการพูด การเขียนที่พอเหมาะกับผู้อื่นได้ ความสุภาพในการพูดจึงเริ่มจากการจัดระเบียบการใช้คำพูดที่พอเหมาะพอควร
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับลูก ไม่ใช่ไปพูดกับพ่อ
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับเพื่อน ไม่ใช่ไปพูดกับเจ้านาย
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับเพื่อน ย่อมไม่ไปพูดกับพระภิกษุ
- น้ำเสียงอย่างนี้ควรพูดกับสามีภรรยา ย่อมไม่ไปพูดกับคนอื่น
ถ้าอยากจะได้ลูกฉลาด ต้องเริ่มต้นให้ทำความสะอาดตั้งแต่หัวถึงเท้าให้เป็น ข้าวของเครื่องใช้ต้องสะอาดจะเริ่มคิดเป็น แค่จะเช็ดพื้นให้สะอาดยังต้องใช้ความคิด จะล้างมือให้เกลี้ยงยังต้องคิด ยิ่งเคร่งครัดในเรื่องความสะอาดมากเท่าใด คือการฝึกให้ลูกคิดเป็น ต้องคิดแยกแยะว่าสิ่งของประเภทนี้ควรจะเช็ดแห้งหรือเช็ดเปียก พื้นตรงไหนควรจะกวาดพื้นตรงไหนควรจะใช้เครื่องดูดฝุ่น พอลงมือทำความสะอาด สมองจะถูกบังคับให้เริ่มคิด แต่ถ้าปล่อยให้สกปรก สมองไม่ต้องคิดอะไร นานเข้าๆจึง “คิดไม่เป็น จัดระเบียบความคิดไม่ได้” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วความคิดของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
อย่าล้อเล่นกับการรักษาความสะอาด อย่าล้อเล่นกับการปล่อยให้สกปรก เพราะถ้าจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ไม่เป็น จะจัดระเบียบความคิดได้อย่างไร ถ้ายังจัดระเบียบความคิดไม่เป็น จะจัดระเบียบการพูดการเขียนได้อย่างไร
ทุกประเทศในโลก ภาษามี ๓ ประเภท คือ
(๑) ภาษาใจ หรือ ภาษาความรู้สึก
ภาษาใจหรือภาษาความรู้สึก คือ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เมื่อไปสัมผัสสิ่งต่างๆ มา แต่เต็มที่ของคนสะอาดก็อย่างหนึ่ง เต็มที่ของคนสกปรกก็อีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างภาษาใจ เช่น
- ไปเที่ยวมาเห็นอะไรสวยงาม ก็เก็บมาฝันหวานไปสามวันแปดวัน หรือไปเห็นอะไรมาน่ากลัว เก็บมาคิดหลอกหลอนตนเองจนผมร่วง
- ไปทานอะไรมารสอร่อย คิดทีไร หน้าตาเคลิบเคลิ้มว่าอร่อยลิ้นขนาดนั้น ภาษาวัยรุ่นบอกว่า “ฟิน” หรือทานแล้วรสชาติ ไม่อร่อยลิ้น เกิดภาษาใจขึ้นมาอยากจะอ้วกออกมาทุกครั้ง
- ไปได้ยินเสียงดนตรีไพเราะมา รู้สึกโลกนี้สดใสเสียงยังก้องเสนาะหูไม่รู้ลืม หรือไปฟังเสียงด่าอย่างหยาบคายมาเกิดภาษาใจสุดๆ รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจได้ขนาดนั้น
ภาษาใจเกิดจากการได้ยิน ได้เห็น ได้ดม ได้ดื่ม ได้กิน ได้สัมผัส ได้จับต้องอะไรมา ก็จะเกิดภาษาที่เป็นความรู้สึกขึ้น จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับใจแต่ละคน ใครสะอาด ใครสกปรกไม่เท่ากัน เหมือนคนใส่แว่น ถ้าแว่นสะอาด เช็ดไว้ดีแล้วจะเห็นชัดเจนเท่านั้น ถ้าปล่อยให้ฝุ่นจับเปื้อนคราบเหงื่อไคลมันไปหมด ความชัดเจนของสิ่งที่เราเห็นก็เสียไปอย่างนั้น
(๒) ภาษาพูด
ภาษาพูดต้องมีคำศัพท์ หากใครใจใสก็สามารถนำคำพูดที่พอเหมาะพอควรมาใช้ได้ ถ้าใครใจขุ่น คำศัพท์ที่พอเหมาะพอดีเริ่มหายาก เลยเริ่มจะพูดไม่เข้าท่าเข้าทางเกิดขึ้น จากภาษาใจพอจะถ่ายทอดต้องเป็นภาษาพูด ภาษาพูดนี้จะพูดให้ได้เท่ากับภาษาใจย่อมทำไม่ได้ มันถูกย่อส่วนลง ใครเป็นคนสะอาดมาก ภาษาใจก็จะได้กว้างขึ้น ใครเป็นคนสกปรกมาก ภาษาใจ ก็จะถูกย่อส่วนลงมา
(๓) ภาษาเขียน
ภาษาเขียนติดปัญหาไวยากรณ์ ฟังเขาพูดแล้วเหมือนเรื่องเพิ่งเกิด ที่จริงเรื่องเกิดเมื่อร้อยปีที่แล้วเพราะเขียนผิดไวยากรณ์หรือฟังเขาพูด นึกว่าทำเสร็จแล้ว ที่จริงกำลังชวนให้ไปทำปีหน้า ผิดไวยากรณ์ ยิ่งสกปรกเท่าไรก็ยิ่งผิดมากเท่านั้น ยิ่งสะอาดเท่าไรมันก็ชัดเจนเท่านั้น ตกลง ภาษาของมนุษย์ยังขึ้นอยู่กับความสะอาดและความเป็นระเบียบ
ถ้ายังไม่ระมัดระวังเรื่องความสะอาดและความมีระเบียบ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน อย่าหวังเลยว่าคนในบ้าน คนในที่ทำงานจะไม่กระทบกระทั่งกัน ข้าวของในบ้านไม่เป็นระเบียบก็จัดระเบียบความคิดไม่ได้ คือคิดสับสนนั่นเอง ถึงคราวพูดก็พูดสับสน คราวเขียนก็เขียนสับสน แม้แต่คำพูดน้ำเสียง ท่าทางยืนเดินนั่งนอน จัดระเบียบไม่ได้กลายเป็นไม่สุภาพ ถ้าจะแก้คนไม่สุภาพ ต้องเริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบสิ่งของและทำความสะอาด ตั้งแต่หัวยันเท้า
๔. การตรงต่อเวลา
เมื่อมักง่ายแม้เรื่องเพศจึงเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา ทำไมไม่ตรงเวลา ทั้งหมดนี้ มาจากจัดระเบียบข้าวของไม่เป็น จัดระเบียบความคิดไม่เป็น จัดระเบียบคำพูดไม่เป็น เพราะฉะนั้นจึงไม่ตรงต่อเวลา คือจัดระเบียบเวลาไม่เป็น ใครมานัดหมายทำอะไรก็ไปช้ากว่าที่นัด ให้คนมารอเสียเวลาแล้วไม่รู้สึกว่าผิด ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ไปเปิด – ปิดงาน บางครั้งไปช้ากว่ากำหนดการนับเป็นชั่วโมง คนรอก็ร้อนแดด หิวกระหาย เหนื่อย บางทีมีเด็กนักเรียนแต่งตัวมาแสดงเปิดงาน แต่งตัวแต่เช้ามืด อดข้าว อดน้ำ อดกลั้นทุกข์หนักทุกข์เบา จนแป้งผัดหน้าไว้ไหลเยิ้มไปทั้งหน้า ด้วยกลัวปากจะเลอะ ชุดจะเปื้อน กว่าจะได้แสดงเกือบเที่ยง โตขึ้นเด็กก็เอาอย่างผู้ใหญ่วนเวียนกันไปแบบนี้
การตรงต่อเวลา ตอนเด็กๆ ก็มีพ่อแม่พี่น้องปลุกให้ไปโรงเรียน พอโตขึ้นก็ตั้งนาฬิกาปลุก ตั้งแบบ ๓ ระยะ ไม่ครบ ๓ ครั้งไม่ลุกขึ้นมา บางทีต่ออีกหน่อยนั่นแหละหลับยาวไปเลย เสียงานเสียการไปก็มาก ที่สำคัญคือ “เสียนิสัย”
๕. การมีสมาธิ (จิตตั้งมั่น)
พอจัดเวลาไม่เป็น ใจสับสนเสียสมาธิแล้ว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากความสกปรกหรือสะอาดไม่พอ อาจคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เห็นหนักหัวใคร แต่ที่จริงมันหนักตลอดทาง หนักกระทั่งเสียชื่อเสียงระดับชาติ หนักไปถึงระดับโลกกันไปแล้วอย่างที่ชี้ให้เห็น ถ้าจะแก้ไขต้องเริ่มจากความสะอาดอย่างเดียว เพราะแต่ละตัวคนคือแหล่งผลิตความโสโครกของโลก ความหนาวร้อน หิวกระหาย ปวดอุจจาระปัสสาวะ นี่คือทุกข์ประจำตัวของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้เริ่มจากธาตุในตัวมันสกปรก เซลล์เลยตาย เซลล์มันมีเกิดมีตายประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ล้านเซลล์/นาที ซากของเซลล์กลายเป็นขี้ไคล อาหารใหม่ที่ทานเข้าไปก็เกิดเซลล์ใหม่ขึ้นมา สิ่งที่ตามมาคือ กายสกปรกเป็นนิจ
บทสรุป
ความสัมพันธ์ของความดีสากล ๕ กับการรักษาศีล ๕
ความดีสากล ๕ ต้นทางของศีล ๕
สะอาด • ไม่มักง่าย
- ไม่มักโกรธ ไม่ฆ่าสัตว์
- อารมณ์ดี
ระเบียบ • ไม่คิดสับสน
- รู้ประมาณ ไม่ลักทรัพย์
สุภาพ • ไม่เอาเปรียบ ไม่โป๊ ไม่เปลือย
- ไม่กีดกัน ไม่ผิดในกาม
- เห็นใจกัน – ถนอมใจกัน
ตรงเวลา • มองตนออก
- บอกเตือนได้ ไม่พูดเท็จ
- ตั้งใจ – ปรับปรุงตน
มีสมาธิ • เว้นอบายมุข
- เป็นสุขจากความสงบ ไม่เสพสุรา
- เป็นสุขจากการทำความดี
ความดีสากล ๕ เป็นต้นทางของศีล ๕
- ความสะอาด ทำให้เป็นคนไม่มักง่าย ไม่มักโกรธ อารมณ์ดีเป็นนิจ เมื่อมีความสะอาดก็ปราศจากสัตว์ที่จะเข้าไปกัดกินเศษซาก ความสกปรกต่างๆ การฆ่าก็ไม่เกิด ไม่ต้องซื้อยาฆ่าแมลง เมื่อไม่มีโอกาสจะฆ่าจนคุ้น ก็จะไม่คุ้นกับการฆ่า จิตใจก็จะอ่อนโยน แม้มีโอกาสก็ไม่กล้าฆ่า
- ความมีระเบียบ ทำให้เป็นคนไม่คิดสับสน เพราะจัดข้าวของ อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นระเบียบ รู้จักประมาณตนในการบริโภค รู้จักประมาณในการจับจ่ายใช้สอยทรัพย์ตามความจำเป็น การลักขโมยย่อมไม่เกิด
- ความสุภาพ ทำให้เป็นคนไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่กีดกันแข่งดีแข่งได้เพื่อมุ่งการเอาชนะ เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถนอมน้ำใจกัน ไม่โป๊ไม่เปลือย กิริยาวาจาอ่อนโยนแต่ไม่ยั่วยวน ไม่ขุดบ่อล่อธารา การประพฤติผิดในกามย่อมไม่เกิด
- การตรงต่อเวลา ทำให้เป็นคนหมั่นวิเคราะห์ตนเอง ทำให้มองตนเองออก บอกเตือนตนเองได้ มีความตั้งใจที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น การพูดเท็จย่อมไม่เกิดขึ้น
- การมีสมาธิ จิตตั้งมั่น ทำให้เป็นคนงดเว้นจากอบายมุขทุกชนิด จิตสงบย่อมเป็นสุข มีจิตใจโล่งโปร่งสบาย มุ่งทำแต่ความดี การเสพสุราย่อมไม่เกิดขึ้น
ความดีสากลกับวิธีการกำจัดทุกข์อย่างยั่งยืน
ปฏิบัติความดีสากล ส่งผลให้ใจไม่ขุ่นมัว
การป้องกันแก้ไขทุกข์อย่างถาวรคือ หมั่นทำใจให้ใสๆ แล้วจะเห็นทุกข์ชัด จะสามารถเห็นวิธีแก้ไข เกิดกำลังใจแก้เหตุแห่งทุกข์นั้น การหมั่นทำใจให้ใสสะอาด อานุภาพมันเหลือคณานับ ให้หมั่นท่องเอาไว้ว่า ทุกคนมีปัญหา ๔ ปัญหา ปัญหาในโลกมีเท่าไหร่ สรุปเหลือแค่ ๔ ปัญหาเท่านั้น หากไม่ถูกฝึกให้ดูแลช่วยเหลือตนเองเป็นตั้งแต่เล็ก จะเสียนิสัยและสุขภาพโดยไม่รู้ตัว
(๑) ปัญหาที่เกิดจากสรีระของเรา เกิดมาเป็นมนุษย์พอคลอดจากครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น เริ่มแต่หิวกระหาย ร้อน หนาว ปวดหนัก ปวดเบา โรคภัยไข้เจ็บสารพัด ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบ หมุนเวียนกันไปเช่นนี้ตลอดไป เป็นปัญหาที่ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนต้องเผชิญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน ชนชั้นใดเหมือนกันหมด นี่คือทุกข์ที่เกิดจากสรีระของเราหรือจะเรียกว่า สรีรทุกข์ ก็ได้
(๒) ปัญหาที่เกิดจากการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เป็นหมู่คณะ เป็นองค์กร เมื่ออยู่ร่วมกันแล้ว ใครไม่ดูแลทุกข์ที่เกิดจากสรีระให้ดี จะเพาะนิสัยไม่ดีเอาไว้ แล้วมากระทบกระทั่งตอนอยู่ร่วมกัน หนุ่มสาวรักกันใหม่ดูทั้งหล่อทั้งสวยเหมาะสมกันดี พอแต่งงานมาอยู่ด้วยกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เพาะนิสัยสกปรก ไม่เป็นระเบียบ ไม่ตรงเวลา ไม่สุภาพ จิตใจไม่มั่นคงมาแต่บ้าน อยู่กันได้ไม่นานย่อมต้องเลิกร้างกันไป เพราะทนกันไม่ได้ ไม่ได้เป็นพระเอกนางเอกอย่างที่คิด ต้นตอมาจากนิสัยไม่ดีจากการไม่ดูแลทุกข์ในสรีระนั่นเอง
(๓) ปัญหาจากการทำมาหาเลี้ยงชีพ คนเราเกิดมาเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันโดยนิสัย ความขยัน สติปัญญา และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก การทำมาหาเลี้ยงชีพโดยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ทรัพย์มาใช้จ่ายเพื่อการบริโภค เพื่อซื้อหาปัจจัย ๔ มาใช้มาอาศัยเพื่อการดำรงชีวิต อาชีพมีอยู่ ๒ ประเภท คือ การประกอบอาชีพโดยสุจริตกับการประกอบอาชีพโดยไม่สุจริต เราจะลำบากยากจนขนาดไหนควรประกอบอาชีพที่สุจริต เพื่อไม่ต้องระแวงภัยจากทรัพย์ที่ได้มาโดยอาชีพไม่สุจริต เช่น ลักขโมย จี้ปล้น หลอกลวง ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน ตัดไม้ทำลายป่า มือปืนรับจ้าง เป็นต้น ภัยจะเกิดกับตนเองและคนในครอบครัว ทั้งในชาตินี้และติดตามตัวไปชดใช้กรรมต่อในชาติต่อไปอีกด้วย
(๔) ปัญหาจากกิเลสตัวเอง เราต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “กิเลส”ว่าคืออะไร ก่อนอื่นต้องรู้ว่าคนเราประกอบด้วย กาย กับ ใจ
กายประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ใจประกอบด้วยธาตุรู้ ซึ่งตาเนื้อ มองไม่เห็น ใจเป็นธาตุรู้ มีสิ่งหนึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นธาตุละเอียดแต่สกปรกมาก เรียกว่า “กิเลส” โลภ โกรธ หลง
การแก้ทุกข์
ประการที่ ๑ ดูการใช้ปัจจัย ๔ ของเรา อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บ้านที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคหรือการป้องกันโรค ให้เหมาะสมพอดี จะช่วยให้สุขภาพกายของเราแข็งแรงสมบูรณ์
ประการที่ ๒ ปฏิบัติความดีสากลไปพร้อมๆ กัน เริ่มต้นที่ หลักนี้เป็นกลไกแห่งความเจริญ ความเสื่อมตลอดชีวิตของมนุษย์ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความสุภาพอ่อนน้อม การตรงต่อเวลา และการมีสมาธิจิตตั้งมั่น
ความดีสากล ๕ ทำที่ไหน
วัฏจักรชีวิตของมนุษย์ เช้าตื่นขึ้นมาออกจากห้องนอนหรือเตียงนอน ถามว่าไปไหนก่อน แน่นอนไปห้องน้ำก่อนลำดับแรก ไปห้องน้ำเสร็จแล้วจะไปไหน ไปห้องครัวเพราะหิวต้องกิน กินเสร็จแล้วไปไหน ไปห้องแต่งตัวได้แล้วเดี๋ยวสายไปทำงานไม่ทัน แต่งตัวแล้วไปไหน เดินทางไปห้องทำงาน เลิกงานแล้วไปไหน ทำธุระเสร็จแล้วต้องมาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วก็เข้าครัวเพราะหิว พออิ่มแล้วก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำทำธุระส่วนตัว เรียบร้อย เข้าห้องนอน อ่านหนังสือ ดูข่าว เตรียมตัวนอน
ตกลงในชีวิตมนุษย์มีอยู่ ๕ ห้อง และทั้ง ๕ ห้องนี้ก็มีกิจกรรมใหญ่ มีงานใหญ่แตกต่างกันออกไป ที่เราจะต้องฝึกความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความสุภาพอ่อนน้อม การตรงต่อเวลา และการมีสมาธิจิตตั้งมั่น ถ้าทำแล้วจะเกิดผลดีแก่ตัวเราอย่างยิ่ง จะสามารถแก้ทุกข์ แก้ปัญหาต่างๆให้กับเราได้ไม่มีขีดจำกัด
เมื่อทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เราบางทีไม่ได้มอง ปล่อยผ่านไปเฉยๆ คือนิสัยของตน คนเราจะมีความรู้มากแค่ไหน การศึกษาจะสูงแค่ไหน จะร่ำรวยขนาดไหน ถ้านิสัยไม่ดีถือว่าเป็นอันตราย ใครคบก็อันตราย ใครเข้าใกล้ก็อันตราย แต่ว่าถ้านิสัยดี ความรู้จะมีมากน้อยแค่ไหน ฐานะจะยากดีมีจนอย่างไร จะหล่อจะสวยจะขี้เหร่อย่างไร ทุกอย่างไม่สำคัญหมดขอให้นิสัยดีเท่านั้น และนิสัยสำคัญที่จะต้องมี ก็นิสัยที่มาจากความดีสากล ๕ ประการนี้
อานิสงส์การทำความสะอาดด้วยตนเอง
- ทำความสะอาดเป็น
- เกิดความคิดสร้างสรรค์
- จัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้เป็น
- ควบคุมอิริยาบถ ๔ ได้ แต่งกายเป็น
- กิริยามารยาทงาม สุภาพ
- จัดขั้นตอนการพูดได้
- เลือกใช้คำเป็น ปรับน้ำเสียงเป็น
- บริหารเวลาเป็น ตรงต่อเวลา
- สมาธิมั่นคง
โทษภัยความสกปรก
- ทิ้งให้สกปรก ทำความสะอาดไม่เป็น
- ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด
- จัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้
- ควบคุมอิริยาบถ ๔ ไม่ได้ แต่งกายไม่เป็น
- กิริยามารยาทไม่สุภาพ มักง่าย
- มักง่ายทุกเรื่อง แม้เรื่องเพศ
- จัดขั้นตอนการพูดไม่ได้ เลือกใช้คำไม่เป็น ปรับน้ำเสียงไม่ถูก
- บริหารเวลาไม่ได้ ไม่ตรงต่อเวลา
- ไม่มีสมาธิ
ความดีสากลกับผลทางใจ
สะอาด > กายสะอาดส่งผลความคิดสะอาด
> วัตถุสะอาดส่งผลใจสะอาด
ระเบียบ > กายเป็นระเบียบส่งผลความคิดเป็นระเบียบ
> วัตถุเป็นระเบียบส่งผลใจสบาย
สุภาพ > กาย อิริยาบถ ๔ อากัปกิริยา
> วัตถุ เสื้อผ้า หน้า ผม ของใช้ ส่งผลใจนุ่มนวล
> คำพูด นํ้าเสียง กาลเทศะ
ตรงต่อเวลา > ตามกิจของสรีระ
> ตามกิจทิศ ๖
> ตามกิจอาชีพ ส่งผลใจไร้กังวล
> ตามกิจกำจัดกิเลส
มีสมาธิ > แสวงหาความสงบ ทั้งภายนอก-ภายในเป็นนิจ ส่งผล ใจผ่องใส
> เจริญสมาธิยิ่งๆ ขึ้นไป
บทสรุป
ความสัมพันธ์ของความดีสากลกับการรักษาศีล ๕
ถ้ามองลึกเข้าไปที่คุณภาพใจ หลังจากฝึกแล้วฝึกอีก จากใจสะอาดดวงนี้ กลายเป็นคนไม่มักง่าย ไม่มักโกรธ อารมณ์ดี ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงในบ้าน
ไม่ผิดศีลข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์
เมื่อความคิดไม่สับสน จัดข้าวของเป็นระเบียบ ไม่มักมาก ใจสบาย ก็ไม่มีการลัก ไม่มีการขโมยสมบัติก็ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร ขณะเดียวกันก็ไม่ทำลายสมบัติตัวเอง
ไม่ผิดศีลข้อที่ ๒ ห้ามลักทรัพย์
จากความสุภาพนี้ กลายเป็นคนไม่เอาเปรียบ รู้จักพอ เห็นใจกัน ถนอมน้ำใจกัน ใจนุ่มนวล เรื่องที่จะไปประพฤติผิดเรื่องเพศเรื่องกามย่อมไม่มี ใครมีลูกสาว ฝึกลูกสาวแบบนี้ เรื่องที่จะไปวอกแวกไม่ต้องพูดกัน เพราะคนอย่างนี้ควบคุมตัวเองได้ เพราะฝึกมาอย่างดี
ไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ ห้ามประพฤติผิดในกาม
คนตรงต่อเวลา มองออกถึงทุกข์ทั้ง ๔ จะเป็นบุคคลประเภทเตือนตัวเองได้ และถ้ามีใครเตือนพร้อมจะรับฟัง ไม่ดันทุรัง ตั้งใจปรับปรุงตัวเองไม่หยุดยั้ง จึงพูดคำไหนคำนั้น พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น
ไม่ผิดศีลข้อที่ ๔ ห้ามพูดโกหก
เมื่อใจตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ ไม่หมกมุ่นกับอบายมุข สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร มุ่งจะหาความสุขจากภายใน
ไม่ผิดศีลข้อที่ ๕ ห้ามดื่มเครื่องดองของเมา
คนอย่างนี้อยู่ที่ไหน ก็เป็นหลักบ้าน หลักเมือง หลักบริษัท หลักงาน ราชการได้ คนอย่างนี้ที่ปิดนรกเปิดสวรรค์ให้ตัวเองและหมู่คณะได้ ยังมีอยู่ในโลก ถ้าเราดีพอ เขาก็จะปรากฏตัวมาให้เห็น เพราะเขาก็อยากได้เพื่อนดีๆ เช่นกัน ใครทำความดีสากลทั้ง ๕ นี้ เมื่อทำเคร่งครัดมากเข้าผลทางสังคมจะเป็นอย่างนี้
ความสำเร็จในชีวิต
- ใครทำได้สะอาดมากเท่าใดคือเพดานบินของความเป็นระเบียบ
- เพดานบินของความเป็นระเบียบคือเพดานบินของความสุภาพ
- เพดานบินของความสุภาพคือเพดานบินของการตรงต่อเวลา
- เพดานบินของการตรงต่อเวลาคือเพดานบินของสมาธิหรือความคิดที่มีจิตใจมั่นคง