พระเถระโปรดเจ้าปายาสิให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิ
เรื่องที่พระเถระทรมานเจ้าปายาสิ ปรากฏอยู่ในปายาสิราชัญญสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญอีกสูตรหนึ่งเกี่ยวกับ ความเห็นผิดว่า ชาติหน้าไม่มี ผลบุญบาปกรรมไม่มี ฯ เป็นพระสูตรที่พระเถระใช้วิธีแต่งนิทานอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบให้เข้าใจ ซึ่งวิธีดังกล่าวได้เป็นแบบอย่างให้แก่พระอรรถกถาจารย์ในรุ่นหลัง ได้นำแบบอย่างมาใช้ขยายความในพระสูตรในกาลต่อมา เช่น ในมิลินท์ปัญหา เป็นต้นฯ พระสูตรนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อสูตรเท่าไร แต่มีความสำคัญน่าศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งกล่าวถึงพระกุมารกัสสปได้แสดงแก่พระเจ้าปายาสิซึ่งครองเสตัพยนคร ดังมีความย่อดังนี้
สมัยหนึ่ง ท่านพระกุมารกัสสปเที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เมื่อถึงนครแห่งชาวโกศลชื่อเสตัพยะ ท่านพระกุมารกัสสปก็ได้พักอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดด้านเหนือนครเสตัพยะ
ก็สมัยนั้น เจ้าปายาสิ ผู้ครองเสตัพยนครซึ่งคับคั่งด้วยประชาชน และหมู่สัตว์ สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จให้ เจ้าปายาสินั้นมีความเห็นอันผิด ๆ ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี ฯ
พราหมณ์และคฤหบดีชาวนครเสตัพยะ ซึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์อันงามของท่านกุมารกัสสปองค์นั้นว่า เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นพระอรหันต์ เมื่อได้ทราบข่าวว่า ท่านพระกุมารกัสสปะ สาวกของพระสมณโคดม เที่ยวจาริกมาถึงนครเสตัพยะพักอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ด้านเหนือนคร ก็คิดว่าการได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมเป็นการดี จึงพากันออกจากนครเป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าทางทิศอุดรไปยังป่าไม้ สีเสียด ฯ
สมัยนั้น เจ้าปายาสิทรงพักผ่อนอยู่ ณ ปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดี พากันออกจากนครเป็นหมู่ๆ บ่ายหน้าไปทางทิศอุดร จึงเรียกนายนักการมาถามว่า พวกเหล่านั้นไปไหนกัน ฯ
นายนักการทูลตอบว่า พวกนั้นพากันไปเพื่อดูท่านกุมารกัสสป ผู้เป็นสาวกของพระสมณโคดมฯ
เจ้าปายาสิ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปบอกพวกเขาว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน เจ้าปายาสิจะเข้าไปหาพระสมณกุมารกัสสปด้วย เมื่อก่อนนี้พระกุมารกัสสปได้ทำให้พราหมณ์และคฤหบดี ผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม เหล่านี้ให้เข้าใจว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พ่อนักการ ความจริงนั้น โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี ฯ
นักการจึงไปดำเนินการตามรับสั่งของเจ้าปายาสิ ฯ
ลำดับนั้น เจ้าปายาสิแวดล้อมด้วยชาวนครเสตัพยะ จึงเสด็จเข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปยังป่าไม้สีเสียด แล้วได้ตรัสกะท่านพระกุมารกัสสปอย่างนี้ว่า
“ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้ามีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ”
ท่านพระกุมารกัสสปถวายพรว่า “ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรว่า พระจันทร์ และพระอาทิตย์นี้อยู่ในโลกนี้หรือในโลกหน้า เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ฯ”
เจ้าปายาสิ : ดูกรท่านกัสสป พระจันทร์และพระอาทิตย์นี้ อยู่ในโลกหน้า มิใช่ โลกนี้ เป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ ฯ
ท่านพระกุมารกัสสป : ดูกรบพิตร ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนี้ว่าโลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วมีอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ายังคง มีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบาก ของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
ท่านพระกุมารกัสสป : ดูกรบพิตร ก็เรื่องซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนั้น มีอยู่หรือ ฯ
กถาว่าด้วยโทษของอกุศลกรรมบท
เจ้าปายาสิ : ดูกรท่านกัสสป เหล่าชนที่ข้าพเจ้ารู้จักในโลกนี้ ที่เป็นคนชั่ว ประพฤติชั่ว เมื่อคนเหล่านั้นป่วยหนัก ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย มีสมณะพวกหนึ่งกล่าวว่า บุคคลที่ทำชั่ว เมื่อตายก็ย่อมตกนรก พวกท่านก็เป็นผู้ประพฤติชั่ว เมื่อท่านตายเมื่อไร ขอจงมาบอกเรา พวกเหล่านั้นก็รับคำ แต่คนพวกนั้นเมื่อตายลงแล้ว ก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาบอกเราเลยว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
กถาว่าด้วยข้ออุปมาด้วยโจร
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ ว่าเมื่อท่านจับโจรร้ายได้ รับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต โจรนั้นขอผ่อนผันจากนายเพชฌฆาตว่า ขอท่านจงรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่ ญาติมิตรของข้าพเจ้าก่อน นายเพชฌฆาตนั้นจะผ่อนผันให้ หรือจะพึงตัดศีรษะโจรผู้กำลังอ้อนวอนอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ดูกรท่านกัสสป ที่แท้นายเพชฌฆาตจะพึงตัดศีรษะโจร นั้นผู้กำลังอ้อนวอนอยู่ทีเดียว ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ก็โจรซึ่งเป็นมนุษย์ยังไม่ได้รับความผ่อนผันในนายเพชฌฆาตผู้เป็น มนุษย์เช่นนั้นเลย ชนผู้ประพฤติชั่วเหล่านั้น เมื่อตายแล้ว ไฉนจะได้รับการผ่อนผันจากนายนินยบาลในนรกเล่าว่าจักขอผ่อนผันให้มาแจ้งแก่ท่านเสียก่อนว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
กถาว่าด้วยอานิสงส์ของกุศลกรรมบท
ดูกรท่านกัสสป เหล่าชนที่ข้าพเจ้ารู้จักในโลกนี้ ที่เป็นคนดี ประพฤติอยู่ในศีล เมื่อคนเหล่านั้นป่วยหนัก ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย มีสมณะพวกหนึ่งกล่าวว่า บุคคลที่ทำดี เมื่อตายก็ย่อมจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ พวกท่านก็เป็นคนดี ประพฤติอยู่ในศีล เมื่อท่านตายเมื่อไร ขอจงมาบอกเรา พวกเหล่านั้นก็รับคำ แต่คนพวกนั้นเมื่อตายลงแล้ว ก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาบอกเราเลยว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
กถาว่าด้วยอุปมาด้วยหลุมคูถ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมาจักยกอุปมาถวายบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษตกลงไปในหลุมอุจจาระจมจนมิดศีรษะ เมื่อได้ช่วยบุรุษนั้นขึ้นมาแล้ว ขัดล้างชำระกายจนสะอาด ประพรมเครื่องหอมต่าง ๆ ให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่อันวิจิตร แล้วเชิญขึ้นสู่ปราสาทบำรุงด้วยกามคุณ ๕ ท่านคิดว่าบุรุษนั้นจะยอมลงสู่หลุมอุจจาระอีกหรือไม่ และเพราะเหตุไรฯ
เจ้าปายาสิ : บุรุษนั้นย่อมไม่ปรารถนาลงสู่หลุมอุจจาระอีกเป็นแน่ เพราะหลุมอุจจาระทั้งไม่สะอาด ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งเป็นสิ่งปฏิกูล ฯ
พระกัสสปเถระ : ฉันนั้นแหละ บพิตร พวกมนุษย์นับเป็นผู้ไม่สะอาด ทั้งนับว่าเป็นสิ่งปฏิกูลของ พวกเทวดา กลิ่นมนุษย์ย่อมเหม็นฟุ้งไปในหมู่เทวดาตลอดร้อยโยชน์ เหล่าชนที่เป็นคนดี ประพฤติอยู่ในศีลเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว พวกเขาจักมาทูลพระ องค์ได้ละหรือว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
กถาว่าด้วยอานิสงส์ศีล ๕
ดูกรท่านกัสสป เหล่าชนที่ข้าพเจ้ารู้จักในโลกนี้ ที่เป็นคนดี ประพฤติอยู่ในศีล เมื่อคนเหล่านั้นป่วยหนัก ข้าพเจ้าเข้าไปหาคนเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย มีสมณะพวกหนึ่งกล่าวว่า บุคคลที่ทำดี เมื่อตายก็ย่อมจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ พวกท่านก็เป็นคนดี ประพฤติอยู่ในศีล เมื่อท่านตายเมื่อไร เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ ขอจงมาบอกเรา พวกเหล่านั้นก็รับคำ แต่คนพวกนั้นเมื่อตายลงแล้ว ก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาบอกเราเลยว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ ร้อยปีของมนุษย์เป็นวันหนึ่งคืนหนึ่ง ของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ พันปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ บุคคลที่ประพฤติอยู่ในศีล เมื่อตายก็ย่อมจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าพวกเขาคิดอย่างนี้ว่า รอเวลาที่พวกเราซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ตลอดสองคืนสองวัน หรือสามคืนสามวันก่อน จะพึง ไปทูลเจ้าปายาสิว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พวกเขาจะพบท่านหรือไม่หนอ ฯ
เจ้าปายาสิ : หามิได้ ท่านกัสสป ด้วยว่า พวกเราถึงจะทำกาละไปนานแล้วก็จริง แต่ใครเล่า บอกความข้อนี้แก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อต่อท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้น ดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้ ฯ
กถาว่าด้วยอุปมาด้วยคนบอดแต่กำเนิด
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด เขา จะพึงพูดอย่างนี้ว่า รูปสีดำ สีขาว ฯลฯ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ฯลฯ ไม่มี ผู้ที่เห็นรูปสีดำ สีขาว ฯลฯ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี เราไม่รู้สิ่งนี้ เราไม่เห็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี ดูกรบพิตร บุคคลจะพึงพูดดังนั้น หรือหนอ ฯ
เจ้าปายาสิ : หามิได้ ท่านกัสสป รูปเหล่านั้นมีอยู่ ผู้ที่เห็น รูปเหล่านั้นก็มีอยู่ ดูกรท่านกัสสป บุคคลนั้น จะพึงพูดว่า เราไม่รู้สิ่งนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงไม่มี ดังนี้หาได้ไม่ ฯ
พระกัสสปเถระ : ฉันนั้นแหละ บพิตร บพิตรย่อมปรากฏเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์พวกใด อยู่เสนาสนะอันสงัดในป่า เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์แล้ว ย่อมแลเห็นทั้งโลกนี้ทั้งโลกหน้า และเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยประการฉะนี้แล หาเหมือนดังที่บพิตรทรงทราบด้วยมังสจักษุนี้ไม่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
กถาว่าด้วยสมณพราหมณ์ผู้มีศีล
ดูกรท่านกัสสป ข้าพเจ้าได้เห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ข้าพเจ้ามี ความคิดเห็นว่า ถ้าท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้ทราบว่า เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้วคุณงามความดีจักมีเช่นนี้แล้ว พวกท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมพวกนี้ ก็จะทำการฆ่าตัวตายเสีย (เพื่อที่จะได้รับผลแห่งความดีนั้น) แต่เพราะเหตุที่ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม พวกนี้ไม่ทราบว่า เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว คุณงามความดีจักมี ฉะนั้น จึงยังประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนา ความสุข เกลียดความทุกข์
นี้แหละ ท่านกัสสป จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
กถาว่าด้วยอุปมาด้วยพราหมณ์มีเมีย ๒ คน
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร พราหมณ์คนหนึ่ง มีภริยาสองคน ภริยาคนหนึ่งมีบุตรมีอายุได้ ๑๒ ปี ภริยาอีกคนหนึ่งก็ตั้งครรภ์ จวนจะคลอด พราหมณ์นั้นก็ตายโดยกระทันหัน เด็กหนุ่มนั้นจึงได้เรียกร้องในทรัพย์มรดกของบิดา นางพราหมณีก็ขอร้องให้รอจนกว่านางจะคลอด เพื่อดูว่าลูกที่ออกมาจะเป็นหญิงหรือเป็นชาย ถ้าเป็นชาย เขาก็ควรได้รับมรดกส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิงก็จักเป็นหญิงในตระกูล เด็กหนุ่มนั้นต่อมาก็ได้พูดเรื่องนี้กับแม่เลี้ยงอีกเป็นครั้งที่สอง นางก็ยังคงยืนคำเดิม จนกระทั่งตรั้งที่สาม เมื่อเด็กหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก นางพราหมณีนั้น ถือมีดเข้าไปในห้อง แหวะท้องตน เพื่อจะดูว่าบุตรเป็นชายหรือหญิง
นางพราหมณีได้ทำลายตน ชีวิต ครรภ์และทรัพย์สมบัติ เพราะนางพราหมณีเป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยอุบายไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉันใด บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหาโลกหน้าด้วยอุบายไม่แยบคาย จักถึงความพินาศ เหมือนนางพราหมณีผู้เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยอุบายไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศ ฉะนั้น
ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้รีบสุก และ ผู้เป็นบัณฑิตย่อมรอผลอันสุกเอง อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ต่างจากคนอื่นๆ ทั่วไป คือว่า สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ยิ่งอยู่นานเท่าใด ท่านย่อมสร้างบุญได้มากเท่านั้น และปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่อ อนุเคราะห์โลก เพื่อ ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
ดูกร ท่านกัสสป เมื่อราชบุรุษของข้าพเจ้าจับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมามอบต่อข้าพเจ้าเพื่อตัดสินลงโทษ ข้าพเจ้าจึงให้นำบุรุษนั้นใส่หม้อใบใหญ่ทั้งเป็น ปิดฝา เอาเชือกรัด เอาดินเหนียวพอก แล้วเผาไฟ เมื่อบุรุษนั้นตายแล้ว จึงให้ยกหม้อนั้นลงแล้วค่อย ๆ เปิดปากหม้อ ตรวจดูว่า บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง พวกเราไม่ได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย ดูกรท่านกัสสป อย่างนี้แหละ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
กถาว่าด้วยอุปมาด้วยคนนอนฝัน
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้ บพิตรบรรทมกลางวัน ทรงรู้สึกฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บ้างหรือ ฯ
เจ้าปายาสิ : เคยฝัน ท่านกัสสป ฯ
พระกัสสปเถระ : ในเวลานั้น หญิงค่อม หญิงเตี้ย นางพนักงานภูษามาลา หรือกุมาริกา คอยรักษา บพิตรอยู่หรือ ฯ
เจ้าปายาสิ : อย่างนั้น ท่านกัสสป ฯ
พระกัสสปเถระ : คนเหล่านั้นเห็นชีวะของบพิตรเข้าหรือออกบ้างหรือเปล่า ฯ
เจ้าปายาสิ : หามิได้ ท่านกัสสป ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ก็คนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่ ยังมิได้เห็นชีวะของบพิตรผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ เข้าหรือออกอยู่ ก็ไฉนบพิตรจักได้ทอดพระเนตรชีวะของผู้ที่ทำกาละไปแล้ว เข้าหรือออกอยู่เล่า ดูกรบพิตร อย่างนี้แหละ ต้องเป็นอย่างนี้ว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
อ้างการชั่งโจร
ดูกร ท่านกัสสป เมื่อราชบุรุษของข้าพเจ้าจับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมามอบต่อข้าพเจ้าเพื่อตัดสินลงโทษ ข้าพเจ้าจึงให้เอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนี้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่ง อีกครั้งหนึ่ง เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิตอยู่ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า แต่เมื่อเขาทำกาละแล้ว ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า และ ไม่ควรแก่การงานกว่า ดูกรท่านกัสสป อย่างนี้แหละ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเอาตาชั่ง ชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้วันยังค่ำ จนลุกแดงแล้ว ต่อมาเอาตาชั่ง ชั่งเหล็กนั้น ซึ่งเย็นสนิทแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วเมื่อไรที่ เหล็กก้อนนั้นจะเบากว่า อ่อนกว่า คือเมื่อติดไฟลุกแดงอยู่ หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว ฯ
อุปมาด้วยก้อนเหล็กร้อน
เจ้าปายาสิ : ดูกรท่านกัสสป เมื่อใดก้อนเหล็กนั้น ติดไฟทั่วลุกแดงแล้ว เมื่อนั้น จึงจะเบากว่า อ่อนกว่า แต่เมื่อใดก้อนเหล็กนั้น เย็นสนิทแล้ว เมื่อนั้น จึงจะหนักกว่า กระด้างกว่า ฯ
พระกัสสปเถระ : ฉันนั้นแหละบพิตร เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า แต่ว่า เมื่อใด กายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้น ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า ดูกรบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
อ้างการค้นหาชีวะของโจรที่ตายแล้ว
ดูกรท่านกัสสป เมื่อราชบุรุษของข้าพเจ้าจับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมามอบต่อข้าพเจ้าเพื่อตัดสินลงโทษ ข้าพเจ้าจึงให้ประหารชีวิตเสียให้ตาย แต่อย่าให้ผิวหนัง เนื้อเอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ บางทีจะได้เห็นชีวะ ของบุรุษนั้นออกมาบ้าง เมื่อบุรุษนั้นเริ่มจะตาย ข้าพเจ้าสั่งบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงผลักบุรุษนี้ให้นอนหงาย บางทีจะได้เห็นชีวะ ของเขาออกมาบ้าง บุรุษพวกนั้นผลักบุรุษนั้นให้นอนหงาย พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย ข้าพเจ้าจึงสั่งบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงพลิกบุรุษนี้ให้นอนคว่ำลง จงพลิกให้ นอนตะแคงข้างหนึ่ง จงพลิกให้นอนตะแคงอีกข้างหนึ่ง จงพยุงให้ยืนขึ้น จงจับเอาศีรษะลง จงทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา จงลากมาข้างนี้ จงลากไป ข้างโน้น จงลากไปๆ มาๆ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง บุรุษพวกนั้นลากบุรุษนั้นมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไปๆ มาๆ พวกเรามิได้เห็น ชีวะของเขาออกมาเลย
ตาของเขาก็ดวงนั้น แหละ แต่เขาเห็นรูปด้วยตาไม่ได้ หูก็อันนั้นแหละ แต่เขาก็ได้ยินเสียงด้วยหูไม่ได้ จมูกก็อันนั้นแหละ แต่เขาก็ได้กลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้นก็อันนั้นแหละ แต่เขาก็รู้รสด้วยลิ้นไม่ได้ กายก็อันนั้น แหละ แต่เขาก็ได้รู้สัมผัสด้วยกายไม่ได้
ดูกรท่านกัสสป อย่างนี้แหละ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
อุปมาด้วยคนเป่าสังข์
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร คนเป่าสังข์คนหนึ่ง ถือเอาสังข์ไปยังบ้านป่าชายแดน ยืนอยู่กลางบ้าน เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้ที่แผ่นดิน นั่งอยู่ พวกชาวบ้านเมื่อได้ยินเสียงสังข์ก็เกิดความตื่นเต้นว่าเสียงอะไรหนอ ช่างเพราะถึงเพียงนี้ ช่างจับจิตถึงเพียงนี้ จึงถามคนเป่าสังข์นั้นว่าเป็นเสียงอะไร คนเป่าสังข์ ตอบว่า นั่นเป็นสังข์
พวกชาวบ้านจึงจับสังข์นั้นหงายขึ้นแล้วบอกว่า พูด ซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์ สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่ พวกเขาจับสังข์นั้นให้คว่ำลง จับให้ตะแคงข้างหนึ่ง จับให้ตะแคงอีกข้างหนึ่ง ชูให้สูง วางให้ต่ำ เคาะด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา ลากมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไปๆ มาๆ แล้วบอกว่า พูดซิ พ่อสังข์ พูดซิ พ่อสังข์ สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่ ลำดับนั้น คนเป่าสังข์คิดว่า พวกมนุษย์ชนบทเหล่านี้ ช่างโง่เหลือเกิน จักแสวงหา เสียงสังข์โดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกัน เมื่อชาวบ้านพวกนั้นกำลังมองดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง แล้วถือเอาสังข์นั้นไป ชาวบ้านพวกนั้นก็ได้พูดกันว่า ท่านทั้งหลาย นัยว่าเมื่อใด สังข์นี้ประกอบด้วยคน ความพยายาม และลม เมื่อนั้น สังข์นี้จึงจะออกเสียง แต่ว่าเมื่อใด สังข์นี้มิได้ประกอบด้วยคน ความพยายาม และลม เมื่อนั้น สังข์นี้ไม่ออกเสียง
ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น กายนี้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาได้ ฟังเสียง ด้วยหูได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะ ด้วยกายได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจได้ แต่ว่าเมื่อใดกายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น เห็นรูปด้วยนัยน์ตาไม่ได้ ฟังเสียงด้วยหูไม่ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายไม่ได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจไม่ได้ ดูกรบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้แหละก็ต้องเป็นอย่างนี้ว่า โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่ สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสป กล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องอื่นที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุด เกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของ กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เปรียบดังเรื่องนี้ฯ
ดูกรท่านกัสสป เมื่อราชบุรุษของข้าพเจ้าจับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมามอบต่อข้าพเจ้าเพื่อตัดสินลงโทษ ข้าพเจ้าจึงให้เชือดผิวหนังของบุรุษ นี้ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นบ้าง พวกเขาเชือดผิวหนังของบุรุษ นั้น พวก เรามิได้เห็นชีวะของเขาเลย ข้าพเจ้าจึงบอกบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่าน จง เชือดหนัง เฉือนเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนี้ บางที จะได้เห็นชีวะ ของบุรุษนั้นบ้าง พวกเขาตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนั้น พวกเรามิได้ เห็นชีวะของเขาเลย ดูกร ท่านกัสสป เช่นนี้แหละ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
อุปมาด้วยเด็กก่อไฟ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร ชฏิลผู้บำเรอไฟผู้หนึ่ง อยู่ในกุฎี ณ ที่ชายป่า วันหนึ่งมีหมู่เกวียนหมู่หนึ่งมาพักอยู่คืนหนึ่ง ในที่ใกล้อาศรมชฎิล แล้วรุ่งขึ้นจึงเดินทางต่อไป ชฎิลผู้นั้นคิดขึ้นว่า ถ้ากระไร เราควรจะเข้าไปในที่ ที่หมู่เกวียนนั้นพัก บางทีจะได้เครื่องอุปกรณ์อะไรในที่นั้นบ้าง ชฎิลผู้นั้นจึงเข้าไปยังที่ที่หมู่เกวียนนั้นพัก ครั้นแล้วจึงได้เห็นเด็กอ่อนโดนเขาทิ้งนอนอยู่ ครั้นเห็นเกิดสงสารจึงได้นำมาเลี้ยงไว้จนโต อายุย่างเข้า ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี
วันหนึ่งชฎิลผู้บำเรอไฟ มีธุระบางอย่างในชนบท จึงได้บอกทารกนั้นว่าตนจะไปยังชนบท ทารก เจ้าพึงบำเรอไฟ อย่าให้ไฟดับ ถ้าไฟดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟแล้วบำเรอไฟเถิด เขาสั่งทารกนั้นอย่างนี้แล้ว ได้ไปยังชนบท เมื่อทารกนั้นมัวเล่นเสีย ไฟดับแล้ว ทารกนั้นนึกขึ้นได้ว่า บิดาได้บอกเราไว้ให้บำเรอไฟ อย่าให้ไฟดับ ถ้าว่าไฟดับ เจ้าพึงก่อไฟเถิด ทารกนั้นจึงเอามีดถากไม้สีไฟ ด้วยเข้าใจว่า บางทีจะพบไฟบ้าง เขาไม่พบไฟเลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก แล้วผ่าออกเป็น ๓ ซีก ๔ ซีก ๕ ซีก ๑๐ ซีก ๒๐ ซีก แล้วเกรียกให้เป็นชิ้นเล็กๆ ครั้นแล้ว จึงโขลกในครก ครั้นโขลกแล้วจึง โปรยในที่มีลมมาก ด้วยเข้าใจว่า บางทีจะพบไฟบ้าง เขาไม่พบไฟเลย
เมื่อชฎิลนั้นทำธุระในชนบทเสร็จแล้ว จึงกลับมายังอาศรมของตน ครั้นแล้วได้กล่าวกะทารกนั้นว่า พ่อ ไฟของเจ้าดับเสียแล้วหรือ ทารกนั้นตอบว่า ข้าแต่คุณพ่อ ขอประทานโทษเถิด กระผม มัวเล่นเสียไฟจึงดับ กระผมจึงทำอย่างนี้ อย่างนี้ แต่กระผมไม่พบไฟ เลย ลำดับนั้น ชฎิลผู้บำเรอไฟ นั้นได้มีความคิดว่า ทารกนี้ช่างโง่เหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม จักแสวงหาไฟโดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกัน เมื่อทารกนั้นกำลังมองดูอยู่ ชฎิลนั้นหยิบไม้สีไฟมาสีให้เกิดไฟแล้ว ได้บอกทารกนั้นว่า เขาติดไฟกันอย่างนี้ ไม่เหมือนอย่างเจ้าซึ่งยังเขลา ไม่เฉียบแหลม แสวงหาไฟโดยไม่ถูกทาง
ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม ทรงแสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง ขอบพิตรจงทรงเปลี่ยนความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ความคิดที่ผิดนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังไม่อาจจะเปลี่ยนความคิดที่ผิดนี้เสียได้ก็เพราะพระราชาทั้งหลายทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า มีทิฐิเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดนี้เสียก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า ช่างโง่เขลาเหลือเกิน เชื่อในสิ่งที่ผิดมาโดยตลอด ข้าพเจ้าก็จักคงความเชื่อนั้นไว้ ฯ
อุปมาด้วยพ่อค้าเกวียน
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร ดูกร บพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว พ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ มีเกวียนประมาณพันเล่ม ได้เดินทางไกลไปยังชนบท เมื่อพ่อค้าเกวียนหมู่นั้นไป เสบียงกรังก็หมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว ในหมู่นั้นมีนายกองเกวียน ๒ คนได้ปรึกษากันว่า หมู่เกวียนเรานี้มีเกวียนประมาณพันเล่ม ถ้ารวมกันอยู่ เสบียงก็จะหมดเปลืองไปโดยรวดเร็ว พวกเราควรจะแยกหมู่เกวียนหมู่ใหญ่นี้ออกเป็น ๒ หมู่ หมู่ละ ๕๐๐ เล่มแล้วแยกกันเดินทาง พ่อค้าเกวียนก็ทำดังนั้น นายกองเกวียนคนแรกออกหมู่เกวียนไปก่อน เมื่อขับไปได้สองสามวัน ก็ได้เห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอกกุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา จึงได้ถามขึ้นว่า ดูกรท่าน ในหนทางข้างหน้า ฝนตกมากหรือ ฯ
อย่างนั้นท่าน ในหนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก พวกท่านจงทิ้งเสบียงของเก่าเสียเถิด เกวียนจะได้เบา จะไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก ลำดับนั้น นายกองเกวียนจึงได้ทิ้งเสบียงของเก่า ขับหมู่เกวียนไป ตลอดทางที่ผ่านไปก็หาเสียงหาน้ำมิได้ ถึงความวอดวายด้วยกันทั้งหมด
เมื่อนายกองเกวียนพวกที่สองรู้สึกว่า บัดนี้หมู่เกวียนแรกนั้นออก ไปนานแล้วจึงบรรทุกเสบียงและน้ำไปเป็นอันมาก แล้วขับหมู่เกวียนไป เมื่อขับไปได้สองสามวัน ก็เห็นบุรุษ ผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่ง ธนู ทัดดอกกุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงามมีล้อ เปื้อนตมสวนทาง มา ครั้นแล้ว จึงได้ถามขึ้นเช่นกับที่นายกองเกวียนหมู่แรกถามนั่นแหละ และก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน
นายกองเกวียนที่สองคิดว่า บุรุษนี้มิใช่มิตร มิใช่ญาติของพวกเรา พวกเราจะเชื่อบุรุษนี้ได้อย่างไร เราไม่ควรทิ้งเสบียงของเก่าเสียแล้วขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่ได้นำมา พวกเกวียนเหล่านั้นก็ได้เห็นหมู่เกวียนที่ได้ถึงความวอดวายเท่านั้น ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกเกวียนมาบอกว่า นี้คือหมู่เกวียนนั้นได้ถึงแก่ความวอดวายแล้ว ทั้งนี้ เพราะนายกองเกวียนนั้นเป็นคนโง่เขลา ถ้าอย่างนั้น ในหมู่เกวียนของพวกเรา สิ่งของชนิดใด มีสาระน้อยจงทิ้งเสีย ในหมู่เกวียนหมู่นี้ สิ่งของชนิดใดมีสาระมาก จงขนเอาไปเถิด พวกเกวียน พวกนั้นรับคำนายกอง เกวียนนั้นแล้ว จึงทิ้งสิ่งของชนิดมีสาระน้อยในเกวียนของตนๆ ขนเอาไปแต่สิ่งของมีสาระมาก ข้ามทางกันดารนั้นไปได้โดยสวัสดี ทั้งนี้ เพราะนายกองเกวียนนั้นเป็นคนฉลาด
ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงเขลา ไม่เฉียบแหลม ทรง แสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง จักถึงความวอดวาย เหมือนบุรุษนายกองเกวียนฉะนั้น ชนเหล่าใดสำคัญผิดคิดว่าทิฐิของบพิตร เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรเชื่อถือ ชนเหล่านั้นก็จักถึงความวอดวาย เหมือนพ่อค้าเกวียนพวกนั้น ฉะนั้น
ขอบพิตรจงทรงเปลี่ยนความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ความคิดที่ผิดนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังไม่อาจจะเปลี่ยนความคิดที่ผิดนี้เสียได้ก็เพราะพระราชาทั้งหลายทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า มีทิฐิเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดนี้เสียก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า ช่างโง่เขลาเหลือเกิน เชื่อในสิ่งที่ผิดมาโดยตลอด ข้าพเจ้าก็จักคงความเชื่อนั้นไว้ ฯ
อุปมาด้วยคนลี้ยงสุกร
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่งได้ออกจากบ้านของตนไปยังบ้านอื่น ได้เห็นอุจจาระแห้งเป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้ในบ้านนั้น ครั้นแล้วเขาได้มีความคิดขึ้นว่าอุจจาระแห้งเป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้นี้ เป็นอาหารสุกรของเรา ถ้ากระไร เราควรขนอุจจาระแห้งไปจากที่นี้ เขาปูผ้าห่มลงแล้ว โกยเอาอุจจาระแห้ง แล้วผูกให้เป็นห่อทูนศีรษะเดินไป ในระหว่างทาง ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา เขาเปรอะเปื้อนอุจจาระตลอดผมถึงปลายเล็บเท้า เดินพาเอาห่ออุจจาระซึ่งล้นไหลออกจากห่อไป พวกชาวบ้านเห็นแล้ว ก็พูดว่า ท่านเป็นบ้าหรือเปล่า ท่านเสียจริตหรือหนอ ไหนท่านจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจจาระตลอดถึงปลายเล็บ จะนำเอาห่ออุจจาระซึ่งล้นไหลอยู่ไปทำไม บุรุษนั้นตอบว่า พวกท่านนั่นแหละเป็นบ้า พวกท่านเสียจริต ความจริงสิ่งนี้เป็นอาหารสุกรของเรา
ดูกรบพิตร บพิตรก็เหมือนบุรุษผู้ทูนห่ออุจจาระนั้นเหมือนกัน ขอบพิตรจงทรงเปลี่ยนความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ความคิดที่ผิดนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังไม่อาจจะเปลี่ยนความคิดที่ผิดนี้เสียได้ก็เพราะพระราชาทั้งหลายทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า มีทิฐิเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดนี้เสียก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า ช่างโง่เขลาเหลือเกิน เชื่อในสิ่งที่ผิดมาโดยตลอด ข้าพเจ้าก็จักคงความเชื่อนั้นไว้ ฯ
อุปมาด้วยนักเลงสกา
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร นักเลงสกาสองคนเล่นสกากัน คนหนึ่งกลืนกินเบี้ยแพ้ ที่แล้วๆ มาเสีย นักเลงสกาคน ที่สองได้เห็นนักเลงสกานั้นกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วๆ มา ครั้นแล้วได้พูดว่า ดูกรสหาย ท่านชนะ ข้างเดียว ท่านจงให้ลูกสกาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเซ่นบูชา นักเลงสกาคนนั้นรับคำแล้ว จึงมอบลูกสกาให้นักเลงสกานั้น ลำดับนั้น นักเลงสกาคนที่สอง เอายาพิษทาลูกสกาแล้วพูด กะนักเลงสกาคนที่หนึ่งว่า มาเถิดสหาย เรามาเล่นสกากัน นักเลงสกาคนที่หนึ่งรับคำ แล้วนักเลงสกาเหล่านั้นเล่นสกากันเป็นครั้งที่สอง แม้ในครั้งที่สองนักเลงสกาคนที่หนึ่งก็กลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วๆ มาเสีย นักเลงสกาคนที่สอง เห็นดังนั้นจึงพูดว่า
บุรุษกลืนกินลูกสกาซึ่งอาบด้วยยาพิษมีฤทธิ์กล้ายังหารู้สึกไม่ นักเลงชั่วเลวผู้น่าสงสารกลืนยาพิษเข้าไป ความเร่าร้อนจักมีแก่ท่าน ดังนี้ ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร บพิตรก็เหมือนนักเลงสกาอย่างนั้นเหมือนกัน ขอบพิตรจงทรงเปลี่ยนความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ความคิดที่ผิดนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
เจ้าปายาสิ : ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังไม่อาจจะเปลี่ยนความคิดที่ผิดนี้เสียได้ก็เพราะพระราชาทั้งหลายทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า มีทิฐิเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดนี้เสียก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า ช่างโง่เขลาเหลือเกิน เชื่อในสิ่งที่ผิดมาโดยตลอด ข้าพเจ้าก็จักคงความเชื่อนั้นไว้ ฯ
อุปมาด้วยสหายสองคน
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร ชนบทแห่งหนึ่งตั้งขึ้นแล้ว ครั้งนั้น สหายผู้หนึ่งเรียกสหายมาบอกว่า มาไปกันเถิดเพื่อน เราจักเข้าไปยังชนบทนั้น บางทีจะ ได้ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในชนบทนั้นบ้าง สหายคนที่สองรับคำ แล้ว เขาทั้งสองเข้าไปยังชนบท ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว ได้เห็น เปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่งได้บอกสหายอีกคนหนึ่งว่า สหาย นี้เปลือกป่านเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง และฉันจักผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง คนทั้งสองจึงถือเอามัดเปลือกป่านเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย สหายคนที่หนึ่งจึงบอกสหายอีกคนหนึ่งว่า เราจะเอาเปลือกป่านไปทำไม ด้ายป่านนี้เขาทิ้งไว้มากมาย เราจงทิ้งเปลือกป่านเสียเถิดแล้วเอามัดด้ายป่านไป สหายอีกคนตอบว่า มัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกล แล้วยังมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ฯ
สหายคนที่หนึ่งจึงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียแล้วถือเอามัดด้ายป่านไป คนทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย สหายคนที่หนึ่งจึงบอกสหายคนที่สองว่า เราจะเอาเปลือกป่านหรือด้ายป่านไปทำไม ผ้าป่านเหล่านี้เขาทิ้งไว้มากมาย เราทั้งสองจงถือเอามัดผ้าป่านไป สหายคนที่สองตอบว่า มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ฯ
ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งนั้น ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป สหายทั้งสองเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นเปลือกไม้โขมะ ได้เห็น ด้ายเปลือกไม้โขมะ ได้เห็น ผ้าเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นลูกฝ้าย ได้เห็นด้ายฝ้าย ได้เห็นผ้าฝ้าย ได้เห็นเหล็ก ได้เห็นโลหะ ได้เห็นดีบุก ได้เห็นสำริด ได้เห็นเงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในบ้านนั้น ครั้น แล้วสหายคนที่หนึ่งจึงบอก สหายคนที่สองว่า สหาย เราจะเอาไปทำไมกับ เปลือกป่าน หรือด้ายป่าน หรือผ้าป่าน หรือเปลือกไม้โขมะ หรือด้ายเปลือกไม้โขมะ หรือผ้าเปลือกไม้โขมะ หรือลูกฝ้าย หรือด้ายฝ้าย หรือผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือ สำริด หรือเงิน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้นท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด และฉันก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไป สหายคนที่สองตอบว่า มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอา ฯ
สหายนั้นทิ้งห่อเงิน ถือเอาห่อทองไป สหายทั้งสองนั้นเข้าไปยังบ้านของ ตนๆ แล้ว ในเขาทั้งสองนั้น สหายผู้ถือเอามัดเปลือกป่านไป มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร สหาย หาได้พากันยินดีไม่ และเขาไม่ได้รับความ สุขโสมนัสซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้จากเปลือกป่านนั้นมา ส่วนสหายที่ถือเอาห่อทองไป นั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร สหาย พากันยินดี และเขายังได้รับความสุขโสมนัสซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา ฯ
ดูกรบพิตร บพิตรก็เหมือนบุรุษผู้ถือ มัดเปลือกป่านนั้นเหมือนกัน ขอบพิตรจงทรงเปลี่ยนความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรงปล่อยวางความคิดที่ผิดนั้นเสียเถิด ความคิดที่ผิดนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ
เจ้าปายาสิละทิฏฐิ
เจ้าปายาสิ : ด้วยข้อความอุปมาข้อก่อนๆ ของท่านกัสสป ข้าพเจ้าก็มีความ พอใจยินดี ยิ่งแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้าใคร่จะฟังปฏิภาณในการแก้ปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงพยายามโต้แย้งคัดค้านท่านกัสสปอย่างนั้น
ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ดังนี้
ข้าพเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอท่านกัสสป จงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง สรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้าพเจ้าปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชายัญ อันจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน ฯ
พระกัสสปเถระ : ดูกรบพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ต้องได้รับ ความพินาศ และปฏิคาหก เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรือง ใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่
เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่หัก ที่เสีย ถูกลมและ แดดแผดเผาแล้ว อันไม่มีแก่น ยังไม่แห้งสนิท ลงในนาไร่อันเลว ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่ดี มิได้แผ้วถางตอและหนามให้หมด ทั้งฝนก็มิได้ตกชะเชย โดยชอบตามฤดูกาล พืชเหล่านั้นจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือ? ชาวนาจะพึงได้รับผลอันไพบูลย์หรือ ฯ
เจ้าปายาสิ : หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านกัสสป ฯ
พระกัสสปเถระ : ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่า สัตว์ ต่างๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจา ผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่ ฯ
ดูกรบพิตร ส่วนยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่
เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่าน พืชที่ไม่หัก ไม่เสีย ไม่ถูกลมแดดแผดเผา อันมีแก่นแห้งสนิท ลงในนาไร่อันดี เป็นพื้นที่ดี แผ้ว ถางตอและหนามหมดดีแล้ว ทั้งฝนก็ตกชะเชยโดยชอบตามฤดูกาล พืชเหล่านั้น จะพึงถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับผลอันไพบูลย์หรือ ฯ
เจ้าปายาสิ : เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสป ฯ
พระกัสสปเถระ : ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือ เหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่ ฯ
เจ้าปายาสิเริ่มให้ทาน
นับแต่นั้นมา เจ้าปายาสิ เริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลาย แต่ในทานนั้นท่านได้ให้โภชนะเช่นนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว และได้ให้ผ้าเนื้อหยาบ มีชายขอดเป็นปมๆ เมื่อเจ้าปายาสิสิ้นพระชนม์ลงจึงได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาเพียงชั้นจาตุมหาราช เนื่องเพราะเจ้าปายาสิมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ ดังนี้