เรื่องผีๆ ตอนที่ 1 และ 2 (Th Ch)

0
21

https://www.dmc.tv/pages/latest_update/20130124-กรณีศึกษาโรงเรียนอนุบาลสุธีธร-ตอนที่-13_LEFT.html

คุณครูไม่ใหญ่มีเรื่องแถมๆ เกี่ยวกับเรื่องผีๆ มาเล่าให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้รับฟังกัน ซึ่งคุณครูไม่ใหญ่ก็เคยได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้พวกเราได้รับฟังกัน ในโรงเรียนอนุบาลฯ มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แต่ในวันนี้คุณครูไม่ใหญ่จะมาลงรายละเอียดเพิ่มเติมให้ลึกลงไปอีกนิดหน่อย พอเป็นแนวทางที่จะให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้ไปศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

คำว่า “ผี” นั้น ความจริงแล้วมาจากคำว่า “ภี” ในภาษาบาลีที่แปลว่า “กลัว”

 

ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกๆ นักเรียนอยากจะไปเห็นด้วยตาของมนุษย์ เพื่อให้เกิดรสชาติของชีวิตดี หรืออยากจะไปเห็นด้วยตาขององค์พระภายใน ซึ่งก็จะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง สำหรับคำว่า “ผี” นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็มาจากคำว่า “ภี” ในภาษาบาลีที่แปลว่า “กลัว” นั่นเอง

 

คำว่า “ผี” นั้น หมายถึง อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียดในระดับภาคพื้นมนุษย์หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือภุมมะเทวา เป็นต้น ซึ่งพวกผีบ้านผีเรือน หรือภุมมะเทวาระดับล่าง ที่พวกเราได้รับฟังรายละเอียดแบบคร่าวๆ กันไปแล้วนั้น ก็จัดว่าเป็นผีประเภทหนึ่งในหลายๆ ผี

ผี หมายถึง อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียดในระดับภาคพื้นมนุษย์หลายๆ อย่าง

 

และถ้าหากเราจะพูดให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ แล้ว คำว่า “ผี” นั้นก็อาจจะคล้ายๆ กับคำว่า “คน” ซึ่งเป็นคำกลางๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ, ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ เป็นต้น หรืออย่างคำว่า “ต้นไม้” ก็ยังมีการแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ไม้ล้มลุก, ไม้ดอกไม้ประดับ หรือไม้ยืนต้น เป็นต้น

 

สำหรับคำว่า “ผี” ก็เช่นเดียวกัน มีการแบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ดังต่อไปนี้คือ ประเภทที่ 1 อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ไป แล้วก็กลายไปเป็นกายละเอียดที่กำลังรอคอยการส่งผลของบุญและบาปอยู่ว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิใด เช่นบางเคสก็วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง หรือเกินกว่านั้นบ้าง เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ผลของบุญและบาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ช่องส่งผลตอนไหน

ประเภทที่ 1 อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ไป

 

 

ประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า ผีเร่ร่อน” คือพวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอที่จะไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นผีที่เร่ร่อนไปมาอยู่ภายในเมืองมนุษย์ และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีบุญพอที่จะมีเรือนเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นพวกไม่มีบ้าน นั่นเอง

ประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือผีเร่ร่อน

 

 

สำหรับรูปร่างลักษณะของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอม และก็ต้องคอยอาศัยอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้าในการประทังชีวิตไปวันๆ โดยพวกเขาจะกินโอชารสหรือส่วนละเอียดของอาหาร ส่วนว่าโอชารสของอาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของอาหาร กล่าวคือ ถ้าเป็นอาหารที่จัดไว้เพื่อเซ่นไหว้ โอชารสของอาหารก็จะดีและประณีตกว่าโอชารสของอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว

พวกสัมภเวสีจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอม

 

 

และเมื่อพวกสัมภเวสีกินโอชารสของอาหารดังกล่าวเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนหยาบที่ปราศจากโอชารสของอาหารเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าอาหารส่วนหยาบนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สารอาหารและรสชาติของอาหารได้สูญสลายหายไปแล้วนั่นเอง ส่วนอากัปกิริยาในการกินโอชารสของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหายเป็นปกติ

พวกสัมภเวสีจะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหาย

 

 

ส่วนว่า พวกเขาจะมีความหิวกระหายมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในพื้นที่นั้นๆ มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรือมีอาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามากน้อยขนาดไหน คือถ้าหากมีอาหารดังกล่าวน้อย พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายมาก แต่ถ้าหากมีอาหารดังกล่าวมาก พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายน้อย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความหิวกระหายน้อยแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความหิวกระหายของพวกเขา ก็ยังมีปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ที่หิวโซแบบมากๆ มากๆ

ความหิวกระหายของพวกสัมภเวสี

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกสัมภเวสีจะไม่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรมที่มาหล่อเลี้ยงพวกเขาเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุดนั่นเอง

ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรม ทำให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุด

 

เรื่องราวของสัมภเวสีนั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเราจะมาลงรายละเอียดกันทั้งหมด มันก็จะยาวมากๆ เอาไว้เราค่อยมาศึกษาเรื่องของสัมภเวสีกันต่อไปในภายหลัง ส่วนผีประเภทที่ 3 นั้นก็คือ พวกภุมมะเทวาระดับล่าง หรือพวกผีบ้านผีเรือน ที่พวกเราได้รับฟังรายละเอียดแบบคร่าวๆ กันไปแล้วนั่นเอง

และเมื่อพูดถึงคำว่า “ผี” แล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงภูติและปีศาจตามไปด้วย เพราะเรามักจะได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหูว่า ภูติผีปีศาจ ซึ่งคำว่า “ภูติผีปีศาจ” นั้น ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคำก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายเฉพาะเป็นของตัวเอง คือภูติก็อย่างหนึ่ง ผีก็อย่างหนึ่ง ปีศาจก็อีกอย่างหนึ่ง สำหรับคำว่า “ภูติ” นั้น ที่ผ่านๆ มา คุณครูไม่ใหญ่ได้เคยยกตัวอย่างให้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้รับฟังกันไปแล้วเป็นบางส่วน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องภูติที่เป็นผีกระสือ หรือผีกระหัง เป็นต้น

 

ภูติที่เป็นผีกระสือหรือผีกระหัง

 

 

ภูติอีกประเภทหนึ่งที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับวิชาไสยเวทย์สายขาว ที่เป็นวิชาอาคมที่ใช้ในการรักษาและช่วยเหลือมนุษย์ สำหรับภูติประเภทนี้ จะเป็นกายละเอียดที่มีลักษณะภายนอกที่หลากหลาย แลดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากนัก ยกตัวอย่างเช่น บางตนก็มีร่างกายซูบผอมและมีผิวหนังที่เหี่ยวแห้งช้ำเลือดช้ำหนอง, บางตนก็มีนิ้วที่ยาวกว่าปกติ หรือบางตนก็มีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ แต่ก็ไม่ถึงกับสูงใหญ่เท่ากับเปรต เป็นต้น

 

ภูติประเภทที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ

 

 

และที่สำคัญ พวกภูติประเภทนี้จะมีฤทธิ์ประจำตัวอยู่เป็นปกติ ส่วนว่าฤทธิ์ประจำตัวของภูติแต่ละตนจะมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติมหลังจากที่พวกเขาไปบังเกิดเป็นภูติแล้ว สำหรับการการฝึกฝนเพิ่มเติมหลังจากที่พวกเขาไปบังเกิดเป็นภูติแล้วนั้น ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างหลักๆ ดังต่อไปนี้ คือ

 

  1. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง

 

  1. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยการไปเรียนกับอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า

 

  1. ฝึกฝนเพิ่มเติมโดยมีอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า คอยส่งฤทธิ์และส่งวิชามาให้

พวกภูติประเภทนี้จะมีฤทธิ์ประจำตัวอยู่เป็นปกติขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติม

 

และยิ่งพวกภูติประเภทนี้มีอายุที่ยืนยาวมากเท่าไหร่ ฤทธิ์ของพวกเขาก็จะยิ่งแก่กล้าเพิ่มมากขึ้นตามอายุของพวกเขาไปด้วย

 

 

สำหรับสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นภูติ ที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์นั้น ทั้งนี้ก็เกิดจากในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีความชอบและสนใจในการศึกษาวิชาไสยเวทย์สายดำอยู่เป็นประจำ ดังนั้น เมื่อถึง ณ ช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต ด้วยความที่ใจของพวกเขามีความผูกพันอยู่กับวิชาไสยเวทย์สายดำเป็นอย่างมาก กอปรกับ ณ ช่วงเวลานั้น บาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผล ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นภูติประเภทนี้นั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้พวกเขามาบังเกิดเป็นภูติที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ

 

 

ส่วนว่าพวกเขาจะต้องไปบังเกิดเป็นภูติอยู่ ณ ที่แห่งไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากพวกเขามีความห่วงหรือผูกพันอยู่กับสถานที่ใดเป็นพิเศษ พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้ารักษาอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น โดยพวกเขาก็จะใช้วิชาอาคมที่เคยร่ำเรียนมาในสมัยที่ยังมีชีวิต ดูแลรักษาพื้นที่แห่งนั้นอยู่ตลอดเวลา เช่น ภูติที่หวงแหนและเฝ้าพื้นที่ป่า เวลามีใครเข้ามารุกรานในเขตพื้นที่ของภูติพวกนี้ พวกเขาก็จะเกิดความไม่พอใจ และเมื่อภูติพวกนี้เกิดความไม่พอใจแล้ว พวกเขาก็จะใช้ฤทธิ์ขับไล่ หลอกหลอน หรือทำร้ายบุคคลนั้นๆ หรือไม่ พวกเขาก็อาจจะแปลงกายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือ หมาดำ หรืองู เป็นต้น เพื่อมุ่งหมายที่จะเข้าไปทำร้ายบุคคลนั้นๆ ไม่ให้เข้ามารุกรานพื้นที่ป่าของพวกเขา แต่พวกเขาก็จะสามารถทำร้ายได้เฉพาะผู้ที่เคยมีวิบากกรรมร่วมกันมากับพวกเขาเท่านั้น เป็นต้น

 

ภูติที่หวงแหนและเฝ้าพื้นที่ป่า

 

 

หรือถ้าหากพวกเขายังมีความอาฆาต หรือจองเวรกับใครเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิต เช่นมีคนมาฆ่าหรือมาทำร้ายพวกเขา เมื่อพวกเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดเป็นพวกภูติที่คอยตามไปล้างแค้น หรือคอยคิดบัญชีกับคนที่พวกเขาผูกอาฆาตเอาไว้ ด้วยการตามไปหลอกหลอนหรือทำร้ายคนเหล่านั้น เป็นต้น

ภูติที่คอยตามไปล้างแค้น

 

 

หรือภูติบางประเภท ในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นคนมักโกรธ หวงทรัพย์ และชอบที่จะศึกษาวิชาไสยเวทย์ เพื่อไปทำร้ายคนอื่นหรือไปทำร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น เมื่อคนพวกนี้ละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไปเกิดเป็นภูติที่คอยเฝ้าทรัพย์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นต้นนั่นเอง

ภูติที่คอยเฝ้าทรัพย์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา

 

 

ส่วนปีศาจนั้น ก็มีหลากหลายประเภทหรือหลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน แต่ในวันนี้คุณครูไม่ใหญ่ก็จะขอยกตัวอย่างปีศาจขึ้นมาพอเป็นสังเขป ดังต่อไปนี้ ปีศาจตัวอย่างที่ 1. คือ ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว และมีอวัยวะที่ผิดปกติไปจากโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ เช่น หัวไปทางหนึ่งตาไปอีกทางหนึ่ง หรือมีกายบูดเบี้ยวบิดเบี้ยวไปทั้งตัว เป็นต้น

ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว

 

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เกิดจากในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีใจหมกมุ่นหรือจมปลักอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก จนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีใจผูกพันอยู่กับวิชาไสยเวทย์สายดำแบบมากๆ ยิ่งไปกว่าพวกภูติ ซึ่งถ้าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันแบบง่ายๆ ก็คือปีศาจอาจจะเปรียบเสมือนกับอาจารย์ที่สอนวิชาไสยเวทย์ ส่วนพวกภูติก็เปรียบเสมือนกับลูกศิษย์ที่เรียนวิชาไสยเวทย์นั่นเอง หรือก่อนที่จะเสียชีวิต พวกเขามีใจผูกโกรธอาฆาตแค้นคนที่มาทำร้ายเป็นอย่างมาก เป็นต้น

พวกเขามีใจหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก จนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป

 

ปีศาจตัวอย่างที่ 2. คือ ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิด หรือมีการเจริญเติบโตที่ยังไม่เต็มที่ อีกทั้งพวกเขาจะมีดวงตาสีขาวหม่นหมองที่เบิกโพลง, มีรูจมูกเป็นช่องๆ และยังไม่ยื่นออกมาเหมือนจมูกคนปรกติ, มีปากที่กว้างมากเหมือนกับจะฉีกขาด และปากที่กว้างนั้นก็จะถูกเชือกร้อยและเย็บเอาไว้ให้ติดกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ ผลแห่งกรรมที่พวกเขาได้เคยทำคุณไสยใส่คนอื่น จนทำให้คนอื่นพูดไม่ได้หรือเป็นใบ้ ได้ย้อนกลับมาส่งผลกับพวกเขา

ปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิด

 

นอกจากนี้ พวกเขายังมีรูปร่างที่ใหญ่โต น่ากลัว และผอมโซจนเห็นแต่ซี่โครงและกระดูก, มือแขนจะเล็กลีบ และนุ่งหยักรั้งสีดำ ไม่เพียงแค่นั้น ตามลำตัวของพวกเขายังมีแต่รอยสักเป็นลายพร้อยอยู่เต็มไปหมดอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ ผลแห่งกรรมที่พวกเขาได้เคยเป็นอาจารย์ที่สักยันต์ และลงอาคมให้กับลูกศิษย์เอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ หรือปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิด ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ ในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นจอมขมังเวทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำกุมารทอง โดยพวกเขาจะนำเอาซากหรือร่างของเด็กทารกที่เพิ่งตายใหม่ๆ มาทำพิธีสะกดวิญญาณเอาไว้ไม่ให้วิญญาณของเด็กทารกเหล่านั้นไปผุดไปเกิด

พวกเขาเป็นจอมขมังเวทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำกุมารทอง

 

และเมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องละจากโลกนี้ไป วิชาไสยเวทย์สะกดวิญญาณก็ได้ย้อนกลับมาเข้าตัวของพวกเขาเอง จนเป็นผลทำให้พวกเขาต้องมาเกิดเป็นปีศาจที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับเด็กทารกที่ยังไม่เกิดและมีฤทธิ์มากนั่นเอง

 

ปีศาจตัวอย่างที่ 3 คือ ปีศาจที่มีผมหยิก ตาปูดโปน ดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว และมีแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพวกปีศาจเหล่านี้ จะมีฤทธิ์และมีความน่ากลัวมากกว่าพวกภูติเป็นอย่างมาก โดยพวกเขาจะชอบอาศัยอยู่แต่ในป่าหรือในถ้ำ

ปีศาจที่มีผมหยิก ตาปูดโปน ดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเป็นถึงระดับปรมาจารย์ไสยเวทย์สายดำ ที่มีความช่ำชองและเชี่ยวชาญทางด้านการใช้ไสยเวทย์สายดำ ไปเบียดเบียนมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจารย์ไสยเวทย์พวกนี้จะชอบอยู่กับป่ากับถ้ำ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงทำให้หลังจากที่พวกเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาจึงต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจตาปูดโปน ดุร้าย ชอบอาศัยอยู่แต่ในป่าหรือในถ้ำนั่นเอง

 

ปีศาจตัวอย่างที่ 4 คือ ปีศาจที่มีผมหยิกฟู เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล มีกลิ่นกายเหม็นเน่าคละคลุ้ง และมีหน้าตาเละเทะ น่าเกลียดน่ากลัว ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจแบบนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ พวกเขาถูกทรมานก่อนที่จะเสียชีวิต เช่น ถูกทารุณกรรม หรือถูกฆาตกรรม เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นและผูกพยาบาทอาฆาตคนที่มาทำร้ายพวกเขาเป็นอย่างมาก

 

ปีศาจที่มีผมหยิกฟู เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล มีกลิ่นกายเหม็นเน่าคละคลุ้ง

มีหน้าตาเละเทะ น่าเกลียดน่ากลัว

 

และเมื่อพวกเขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ด้วยจิตที่โกรธแค้นและผูกพยาบาทอาฆาตอย่างสุดๆ นี้เอง จึงดึงดูดให้พวกเขาต้องมาบังเกิดเป็นปีศาจที่มีผมหยิกฟู และมีเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกปีศาจเหล่านี้ไม่ต้องไปบังเกิดอยู่ในอบายนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ ณ ช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต บาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผลนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้พวกปีศาจเหล่านี้ไม่ต้องไปบังเกิดอยู่ในอบาย

 

เรื่องราวเกี่ยวกับภูติผีปีศาจนั้น ยังมีรายละเอียดและมีรูปแบบที่หลากหลาย ตามแต่วิบากกรรมที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดที่ลูกๆ ได้ศึกษาไปแล้วนี้ ก็พอที่จะเป็นแนวทางให้ลูกๆ ได้ไปศึกษาเรียนรู้ต่อไป

 

จากเรื่องราว Case Study ของคุณพ่อศักดิ์ สุธีธร ที่เราได้ศึกษาเรียนรู้กันมานี้ ก็สอนให้เราได้รู้ว่า “ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น และเมื่อเราทำกรรมใดไว้ เราก็จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น สมดังพุทธพจน์ที่ว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

 

ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นคำสอนที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เพื่อที่เราจะได้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและดีงามด้วยความไม่ประมาท อีกทั้งจะได้ตั้งใจสั่งสมบุญสร้างบารมี และประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส หรือทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เป็นต้น ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ชีวิตการสร้างบารมีของเราจะได้อยู่รอดปลอดภัย และมีชัยชนะในเส้นทางการสร้างบารมีไปตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม”